คัดลอก URL แล้ว
ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เสี่ยงเป็นโรคหัวใจตีบ มากกว่าวัยอื่น

ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เสี่ยงเป็นโรคหัวใจตีบ มากกว่าวัยอื่น

โดยปกติแล้ว ผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแล้ว จะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจตีบมากกว่าผู้หญิงในวัยอื่น และเพราะความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเพิ่มขึ้นได้ตามอายุ โดยผู้หญิงจะมีความเสี่ยงสูงขึ้นหลังหมดประจำเดือน ดังนั้นการใส่ใจดูแลสุขภาพหัวใจให้แข็งแรงจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ

ผู้หญิงจะมีความเสี่ยง หัวใจตีบ สูงขึ้นหลังหมดประจำเดือน

พญ.กรองอร ภิญโญลักษณา อายุรแพทย์หัวใจ โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ กล่าวว่า ภาวะของผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนหรือผู้หญิงวัยทอง คือ ภาวะที่ผู้หญิงไม่มีประจำเดือนอย่างถาวร ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่การที่ไม่มีประจำเดือนติดต่อกันเป็นเวลา 1 ปี อายุเฉลี่ย 50 ปีหรือระหว่างอายุ 45 – 55 ปี จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากการที่รังไข่หยุดทำงาน คือ อายุมากกว่า 40 ปี จากการผ่าตัดรังไข่ออกทั้ง 2 ข้าง ซึ่งสามารถเกิดได้ในคนที่อายุน้อยกว่า 40 ปี โดยปกติรังไข่ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนเพศหญิงอย่างฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งมีผลต่ออวัยวะทั่วร่างกาย เมื่อถึงวัยหมดประจำเดือนรังไข่จะหยุดทำงานทำให้สร้างฮอร์โมนเพศหญิงได้ลดลง นำไปสู่อาการต่าง ๆ ของวัยหมดประจำเดือน ได้แก่ รู้สึกร้อนวูบวาบ มีอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย อารมณ์แปรปรวน ในบางคนมีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย ซึ่งอาการมักเกิดในช่วง 3 – 4 ปีก่อนและหลังหมดประจำเดือน โดยช่วงเวลาและความรุนแรงอาจแตกต่างกันในแต่ละคน และในบางคนอาจไม่มีอาการเลย นอกจากนี้ยังอาจพบโรคที่เกิดจากภาวะการขาดฮอร์โมนเพศหญิงได้ เช่น โรคกระดูกพรุน ช่องคลอดแห้ง ปัสสาวะลำบาก เป็นต้น

ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเพิ่มขึ้น เพราะโดยปกติฮอร์โมนเพศหญิงจะช่วยลดระดับไขมันไม่ดีและเพิ่มระดับไขมันที่ดีในเลือด ป้องกันไม่ให้ไขมันไปเกาะที่ผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดทั่วร่างกายยืดหยุ่น เมื่อขาดฮอร์โมนเพศหญิงจึงส่งผลให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งตัวหรืออุดตันได้ทั่วร่างกาย รวมไปถึงหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ภาวะหลอดเลือดตีบเป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย โดยอาการที่เกิดจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของหลอดเลือดที่ตีบในอวัยวะนั้นๆ เช่น หลอดเลือดหัวใจ จะมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกตรงกลางร้าวไปแขนซ้าย กราม หรือไหล่ รู้สึกเหนื่อยง่าย หายใจไม่สะดวก เกิดกับหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองจะมีอาการแขนขาอ่อนแรงเป็นซีกมุมปากตก พูดไม่ชัด หรือถ้าเกิดกับหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงขาจะมีอาการปวดขาเวลาเดิน 

การป้องกันหลอดเลือดตีบ

คือควรตรวจเช็กร่างกายเป็นประจำ ตรวเช็กสุขภาพหัวใจ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดอาหารหวาน มัน เค็ม ออกกำลังกายสม่ำเสมอ สำหรับทางด้านหัวใจ แนะนำให้ออกกำลังกายแบบหนักปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินเกณฑ์ งดสูบบุหรี่ หากมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง ฯลฯ ควรดูแลควบคุมโรคให้ได้ตามเกณฑ์ของข้อบ่งชี้

การตรวจเช็กหลอดเลือดตีบ

สามารถตรวจภาวะหลอดเลือดแข็งตัวหรืออุดตันในอวัยวะต่าง ๆ ได้แก่ หลอดเลือดหัวใจ ตรวจหาคราบหินปูนที่หลอดเลือดแดงของหัวใจ (Coronary Artery Calcium Scan หรือ CAC) หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ใช้การตรวจหลอดเลือดใหญ่ที่คอด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Carotid Duplex Ultrasound) หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงส่วนปลาย อย่างขา แขน ใช้การตรวจสมรรถภาพการไหลเวียนของหลอดเลือดแดงส่วนปลาย (Ankle Brachial Index : ABI) ถ้าอาการไม่รุนแรงมากจะรักษาด้วยการให้ทานยาลดไขมันเพื่อลดหรือป้องกันไม่ให้ตีบเพิ่มขึ้นหรือสำหรับหลอดเลือดหัวใจ ยาลดไขมันสามารถป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันได้ รวมถึงการกินยาต้านเกล็ดเลือดและยาตัวอื่นๆ ถ้าหากมีอาการที่รุนแรง สำหรับหัวใจต้องรักษาด้วยการทำบอลลูนใส่ขดลวด (Stent) หรือผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการทุพพลภาพและเสียชีวิต ช่วยลดอาการและเพิ่มคุณภาพชีวิต โดยการรักษาผู้ป่วยจะมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับแพทย์เฉพาะทางด้านหัวใจพิจารณา

อย่างไรก็ตามเมื่อคุณผู้หญิงเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนหรือวัยทอง ควรพึงระวังภาวะที่อาจจะเกิดขึ้นตามข้อมูลข้างต้น หมั่นสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ตรวจเช็กสุขภาพเพื่อป้องกันและดูแลโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ รวมไปถึงโรคหัวใจหากมีได้อย่างถูกวิธี

ข้อมูลจาก: รพ.หัวใจกรุงเทพ


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง