คัดลอก URL แล้ว
ฤดูหนาวฝุ่นเริ่มกลับมาแล้ว 10 วิธีป้องกันตัวเองจาก ฝุ่นละออง PM 2.5

ฤดูหนาวฝุ่นเริ่มกลับมาแล้ว 10 วิธีป้องกันตัวเองจาก ฝุ่นละออง PM 2.5

เมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวอากาศจะค่อนข้างแห้งๆ และทำให้ฝุ่นละอองขนาดเล็กอย่าง PM 2.5 เริ่มกลับมารุนแรงมากขึ้น ซึ่งหากสูดเข้าสู่ร่างกายเข้าไป ไม่เพียงแต่แพร่กระจายเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ กระแสเลือด และส่งผลเสียต่อระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายยังทำร้ายหัวใจด้วย และรุนแรงถึงขั้นหัวใจล้มเหลว (Heart Failure) และหัวใจวาย (Heart Attack) ได้เลยล่ะ เพราะฉะนั้นการหลีกเลี่ยงฝุ่น PM 2.5 คือสิ่งที่ต้องตระหนักและระมัดระวัง เพื่อให้หัวใจของเราแข็งแรง ขอแนะนำวิธีป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากฝุ่น PM 2.5 ดังต่อไปนี้

นพ.ชาติทนง ยอดวุฒิ อายุรแพทย์หัวใจ หัวหน้าศูนย์ตรวจสมรรถภาพหัวใจ โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ กล่าวว่า มลพิษทางอากาศ (Air Pollution) หรือฝุ่นในอากาศเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหัวใจได้ ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (World Health Organization – WHO) ระบุว่า มากกว่า 20% ของการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดมีสาเหตุมาจากมลพิษทางอากาศ และทุกๆ ปี มีมากกว่า 3 ล้านคนที่เสียชีวิต

โดยองค์การอนามัยโลกระบุว่า หากในอากาศมีฝุ่น PM 2.5 เกิน 10 – 25 ไมโครกรัมใน 1 ลูกบาศก์เมตรแล้วร่างกายได้รับเข้าไปติดต่อกันเป็นระยะเวลานานจะทำให้เกิดการอักเสบ ส่งผลเสียต่อการแข็งตัวของเลือด การทำงานของเซลล์เยื่อบุหลอดเลือด ทำให้เกิดโรคเรื้อรัง ทั้งโรคหัวใจ โรคปอด และโรคมะเร็ง

ผลกระทบของฝุ่น PM 2.5 กับหัวใจ หากเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันจะส่งผลให้เส้นเลือดเปราะ เส้นเลือดแตก และในผู้ป่วยโรคหัวใจ ฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ ฝุ่น PM 2.5 นี้ จะเข้าไปกระตุ้นให้โรคที่เป็นอยู่รุนแรงขึ้น ส่วนในระยะยาวผลกระทบจะเกิดการเปลี่ยนแปลงระดับเซลล์ กระตุ้นการอักเสบทั่วร่างกาย หลอดเลือดหนาตัวมากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อผนังหลอดเลือดเติบโตขึ้น มีอันตรายต่อร่างกายเทียบเท่ากับคนที่สูบบุหรี่ ในอนาคตคาดว่าจะเพิ่มเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงหลักที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ

ข้อมูลจากสมาคมโรคหลอดเลือดหัวใจแห่งยุโรป (European Society of Cardiology – ESC) ระบุว่า มลพิษทางอากาศ (Air Pollution) ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตในยุโรปเพิ่มขึ้น มีอัตราผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นถึง 800,000 คนต่อปี ด้วยวิธีการใหม่ของแบบจำลองผลกระทบที่หลากหลายของแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศภายนอกที่ส่งผลต่ออัตราการเสียชีวิต พบว่า 40 – 80% ของผู้เสียชีวิตเกิดจากโรคหลอดเลือดหัวใจ(CVD) เช่น หัวใจวายและหลอดเลือดสมอง นอกจากนี้นักวิจัยยังพบว่า มลพิษทางอากาศ ทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นประมาณ 8.8 ล้านรายทั่วโลกมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 4.5 ล้านคน

นั่นหมายความว่า ในแต่ละปีมลพิษทางอากาศเป็นสาเหตุการเสียชีวิตมากกว่าการสูบบุหรี่ ซึ่งบุหรี่สามารถเลิกสูบได้ แต่มลพิษทางอากาศไม่สามารถเลี่ยงได้ มลพิษทางอากาศมีความสัมพันธ์กับโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งโรคระบบทางเดินหายใจ เพราะเป็นสาเหตุที่ทำให้หลอดเลือดเกิดความเสียหายและเกิดความเครียดเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง หัวใจวาย และหัวใจล้มเหลวในอัตราที่สูงขึ้น

วิธีป้องกันสุขภาพและหัวใจจากฝุ่น PM 2.5

1.หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งในวันที่มีฝุ่น PM 2.5

2.สวมหน้ากากหรือใช้ผ้าปิดจมูก และควรเปลี่ยนใหม่ เมื่อหน้ากากสกปรกหรือเริ่มหายใจไม่สะดวก

3.ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ ภายในบริเวณที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยขจัดหรือกรองอากาศให้บริสุทธิ์

4.รักษาความสะอาดโดยใช้น้ำสะอาดกลั้วคอ แล้วบ้วนทิ้งวันละ 3-4 ครั้ง

5.หลีกเลี่ยงการทำงานหนัก ที่ต้องออกแรงมากในบริเวณที่มีหมอกควัน

6.ผู้ป่วยโรคปอด หอบหืด โรคหัวใจ หญิงตั้งครรภ์และคนชรา ควรให้พักผ่อนอยู่แต่ในบ้าน หากพบอาการผิดปกติให้รีบเข้ารับการรักษาพยาบาลทันที

7.หากต้องเปิดพัดลมภายในบ้าน ควรเป่าลงกระทบผิวน้ำก่อนก็จะช่วยให้ลดปริมาณฝุ่นพิษลงได้

8.ปิดประตูหน้าต่างเพื่อหลีกเลี่ยงไม่รับอากาศเป็นพิษเข้าไปภายในบ้านหรืออาคาร แต่หากมีเครื่องปรับอากาศหรือระบบกรองอากาศ ควรเปลี่ยนหรือหมั่นล้างระบบกรองอากาศเป็นประจำ

9.ติดตามข่าวสารและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างใกล้ชิด

10.หากเกิดความผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

ทั้งนี้ นพ.ชาติทนง ยอดวุฒิ อายุรแพทย์หัวใจ หัวหน้าศูนย์ตรวจสมรรถภาพหัวใจ โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ กล่าวเพิ่มเติมว่า อยากให้ทุกคนตระหนักถึงผลกระทบของฝุ่น PM 2.5 กับหัวใจ เมื่อร่างกายได้รับในปริมาณมาก จะทำลายหลอดเลือดและเยื่อบุหลอดเลือด เร่งการแข็งตัวของหลอดเลือด เร่งความเปราะของหลอดเลือดให้เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดความเสี่ยงโรคหัวใจล้มเหลว

เพราะฉะนั้นการป้องกันตัวเองคือ สิ่งสำคัญ แม้ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหัวใจมีหลายข้อ แต่มลพิษทางอากาศคืออีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ไม่ควรละเลย หากมีอาการผิดปกติควรเข้ามาพบแพทย์ทันที และถ้ารู้ว่าตัวเองมีความเสี่ยงโรคหัวใจ ควรตรวจเช็กหัวใจกับแพทย์เป็นประจำทุกปี


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง