โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่น ของรัฐบาลเศรษฐา เป็นที่พูดถึงอย่างมาก โดยเฉพาะประเด็นเรื่องแหล่งที่มาของเงิน ซึ่งก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยได้พยายามชูนโยบายดังกล่าว พร้อมผลักดันให้เกิดขึ้นจริง แต่ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องของแหล่งที่มาของเงินโครงการดังกล่าว
สุดท้ายในการแถลงถึงรายละเอียดโครงการ ก็ได้ข้อสรุปในเรื่องนี้ คือ การออกพระราชบัญญัติกู้เงิน วงเงิน 5 แสนล้านบาท เพื่อนำมาแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท จนถูกหลายฝ่ายออกมาท้วงติง ว่าท้ายที่สุดรัฐบาลเศรษฐาก็ต้อง ‘กู้เงินมาแจก’ ประชาชน ซึ่งไม่ต่างจากในยุคของรัฐบาลลุงตู่ อย่างโครงการ ‘คนละครึ่ง’
การกู้เงินของรัฐบาลไม่ว่าจะกี่ยุคสมัย ย่อมสามารถเกิดขึ้นได้ ซึ่งอยู่ที่วัตถุประสงค์ในแต่ละเคส ว่ารัฐบาลนั้น ๆ จะนำเงินที่กู้มาไปผลักดัน หรือ บริหารจัดการประเทศในด้านใด ซึ่งก็ไม่ใช่ทุกฉบับที่จะผ่านทั้งหมด เนื่องจากในแต่ละ พ.ร.บ.กู้เงิน ของรัฐบาล ในแต่ละฉบับ ต้องผ่านกระบวนการต่าง ๆ และสุดท้ายต้องเข้าสู่ขั้นตอนในรัฐสภา ว่าจะ เห็นชอบหรือไม่
เกือบ 30 ปี แต่ละรัฐบาลกู้เงินมาแล้วกี่ฉบับ?
หลังจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ใช้บังคับ นับตั้งแต่ช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540 ที่มีการออก พ.ร.ก. กู้เงิน ภายใต้รัฐธรรมนูญตลอดระยะเวลาของรัฐบาลทั้ง 5 รัฐบาล ซึ่งในแต่ละชุด ก็มีการออกร่าง พ.ร.บ. – พ.ร.ก.กู้เงิน โดยมีรายละเอียดดังนี้
- รัฐบาลชวน หลีกภัย ในปี 2541
ได้ออก พ.ร.ก.กู้เงิน จำนวน 3 ฉบับ วงเงินรวมกว่า 1 ล้านล้านบาท เพื่อนำมาฟื้นฟู้เศรษฐกิจ หลังเผชิญวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 - รัฐบาลทักษิณ ในปี 2545
ได้ออก พ.ร.ก.กู้เงิน (ฉบับต่อเนื่อง ระยะที่ 2) วงเงิน 7.8 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นฉบับต่อเนื่องจากรัฐบาลชาน หลีกภัย เพื่อนำมาฟื้นฟูเศรษฐกิจ และสถาบันการเงิน - รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในปี 2552
ได้ออก พ.ร.ก.กู้เงิน วงเงิน 4 แสนล้านบาท เพื่อแก้วิกฤตที่เผชิญกันทั่วโลก หรือที่เรียกว่า ‘แฮมเบอร์เกอร์’ ผ่านโปรเจ็กต์ “ไทยเข้มแข็ง” - รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในปี 2555
ได้ออก พ.ร.ก.กู้เงิน วงเงิน 3.5 แสนล้านบาท เพื่อแก้ไขระบบการจัดการน้ำใหม่ หลังประเทศไทยต้องเจอกับน้ำท่วมหนักในปี 2554 - รัฐบาลประยุทธ์ ในปี 2563-2565
ได้ออก พ.ร.ก.กู้เงิน จำนวน 3 ฉบับ วงเงินรวมกว่า 2 ล้านล้านบาท เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ หลังต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
ไม่ใช่ทุกฉบับที่จะผ่าน
แม้ในช่วงกว่า 20 ปี ที่ผ่านมา จะมีการออก พ.ร.ก.กู้เงิน เพื่อแก้ไขสถานการณ์ต่าง ๆ ของแต่ละรัฐบาล แต่ก็ไม่ใช่ทุกฉบับได้รับความเห็นชอบ ซึ่งฉบับที่ผ่านมา มีเพียง 9 ฉบับ ที่ผ่านการอนุมัติและนำเงินมาใช้จ่ายในโครงการต่าง ๆ ประกอบไปด้วย
- พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินจากต่างประเทศเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ พ.ศ.2541
(รัฐบาลชวน) วงเงินไม่เกิน 2 แสนล้านบาท - พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของระบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2541
(รัฐบาลชวน) วงเงินไม่เกิน 3 แสนล้านบาท - พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน พ.ศ.2541 (รัฐบาลชวน) ปี 2541 วงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท
- พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (ระยะที่สอง) พ.ศ. 2545 (รัฐบาลทักษิณ) วงเงินไม่เกิน 7.8 แสนล้านบาท
- พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552
(รัฐบาลอภิสิทธิ์) วงเงินไม่เกิน 4 แสนล้านบาท - พ.ร.ก.ให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ.2555 (รัฐบาลยิ่งลักษณ์) ปี 2555 วงเงินไม่เกิน 3.5 แสนล้านบาท
- พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 พ.ศ.2563 (รัฐบาลประยุทธ์) วงเงิน 1 ล้านล้านบาท
- พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (รัฐบาลประยุทธ์) วงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท
- พ.ร.ก.การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ. 2563 (รัฐบาลประยุทธ์) วงเงินไม่เกิน 4 แสนล้านบาท
ฉบับที่ไม่ผ่าน
- พ.ร.ก.กู้เงิน วงเงิน 4 แสนล้านบาท (รัฐบาลอภิสิทธิ์) ในปี 2553
โดย ครม. มีมติถอนร่างฉบับดังกล่าว เนื่องจากเห็นพ้องว่าเศรษฐกิจและสถานะการคลังของประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี - ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน วงเงิน 2 ล้านล้านบาท (รัฐบาลยิ่งลักษณ์) ในปี 2556
ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทนั้น ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ที่มีการจ่ายเงินเพื่อดำเนินโครงการต่างๆ ในแต่ละปีงบประมาณไม่ได้ผ่านการตรวจสอบของรัฐสภา รวมทั้งไม่มีการควบคุมตรวจสอบการใช้จ่ายเงินดังกล่าวอย่างชัดเจน อีกทั้งมิใช่กรณีจำเป็นเร่งด่วน
…
พ.ร.บ. กู้เงิน กับ พ.ร.ก. กู้เงินต่างกันอย่างไร
ในช่วงที่ผ่านมา การกู้เงินในโครงการของรัฐฯ มีทั้งการออกเป็น พ.ร.ก. หรือ พระราชกำหนด และ พ.ร.บ. ย่อมาจาก พระราชบัญญัติ แต่ส่วนใหญ่ที่ผ่านเป็นงบประมาณออกมานั้น จะเป็น พ.ร.ก. เสียส่วนใหญ่ สาเหตุสำคัญน่าจะเป็นเหตุผลมาจาก กระบวนการและขั้นตอนของการออกกฎหมายนั้นแตกต่างกัน
หากสรุปให้เข้าใจอย่างง่ายคือ พ.ร.บ. นั้น เป็นบทบัญญัติของกฎหมายที่ตราขึ้นบังคับใช้ทั่วไป ในสถานการณ์ปรกติ จะต้องมีการดำเนินการเสนอในสภาผู้แทนฯ ซึ่งจะต้องผ่านขั้นตอนการลงมติใน 3 วาระ และนำเสนอต่อวุฒิสภาต่อไป โดยก็จะต้องผ่านการลงมติ ซึ่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงิน จะต้องพิจารณาในเสร็จภายใน 30 วัน หากผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภาในวาระที่ 3 แล้ว ก็จะมีการทูลเกล้า เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยและประกาศใช้บังคับต่อไป
แต่ พ.ร.ก. นั้นเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นในสถานการณ์ฉุกเฉิน มีความจำเป็นเร่งด่วน ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 172 ที่ระบุถึงความปลอดภัยของประเทศ รวมถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจ หรือ การปกป้องภัยพิบัติต่าง ๆ ดังนั้น หากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบว่า มีความจำเป็น ก็จะสามารถออก พ.ร.ก. และนำขึ้นทูลเกล้า เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยและประกาศใช้บังคับ โดยไม่จำเป็นต้องเสนอร่างฯ ให้รัฐสภาพิจารณาก่อน
…
การกู้ในสมัยของ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ กับ รัฐบาลเศรษฐา
หากมองตามสถานการณ์แล้วในสมัยของลุงตู่ ในการออก พ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับ โดยระบุถึงสาเหตุการกู้ เพื่อมาฟื้นฟูเศรษฐกิจ ช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้เกิดผลกระทบทั่วประเทศทั้งในธุรกิจขนาดใหญ่ไปจนถึงขนาดเล็ก มีการเลิกจ้าง ผู้กอบประกอบการบางส่วนต้องปิดกิจการ
หลายฝ่ายจึงมองว่า การกู้เงินดังกล่าวในสมัยลุงตู่นั้นเป็นการช่วยเหลือประชาชน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าไปต่อได้ จากสถานการณ์ที่จำเป็น แต่ก็มีอีกความเห็นบางส่วนมองว่าควรบริหารจัดการเงินกู้ให้ดีกว่านี้ นอกเหนือจากการ ‘กู้มาแจก’ ในหลายโครงการเช่น โครงการคนละครึ่ง หรือ เราเที่ยวด้วยกัน
ในขณะรัฐบาลปัจจุบัน ของนายเศรษฐา เป็นการกู้เพื่อเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ยังคงมีข้อถกเถียงจากหลายฝ่ายถึง “ความจำเป็น” ของการกระตุ้นเศรษฐกิจ จนทำให้หลายฝ่ายมองว่า การออก พรบ.กู้เงินมูลค่า 5 แสนล้านในครั้งนี้ อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ เนื่องจากมองว่าไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่ต้องกู้มาแจกประชาชน
นอกจากนี้ ขั้นตอนส่งร่าง พรบ. กู้เงิน 5 แสนล้าน ให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความนั้น แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่กระทำได้ แต่ในกระบวนการต่อไปคือ การเสนอต่อรัฐสภา ที่รัฐบาลในขณะนี้มั่นใจว่า น่าจะผ่านไปได้ เนื่องจากคะแนนเสียงของพรรคฝ่ายรัฐบาลนั้นมีอยู่มากกว่า 300 เสียง แต่ข้อสังเกตที่หลายคนยังคงค้างคาใจอยู่คือ จะเกิดอะไรขึ้น หากมีใครสักคน ยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และนำไปสู่ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย พ.ร.บ. กู้เงิน 2 ล้านล้านในอดีต และกระแสสังคมก็ถาโถมไปที่ศาลรัฐธรรมนูญแทน และนั่น ทำให้บางคนมองว่า
“นี่เป็นหนึ่งในทางลงของรัฐบาลโครงการเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ผ่านการโยนเผือกร้อนไปให้ศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่”
อ้างอิง
- https://www.krisdika.go.th/data/activity/act13443.pdf
- https://www.excise.go.th/cs/groups/public/documents/document/dwnt/mzm1/~edisp/uatucm335523.pdf
- https://www.pdmo.go.th/th/law/emergencydecree