ในขณะที่ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นสังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว เสียงของผู้สูงอายุกลับสะท้อนความจริงอันขมขื่นที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังตัวเลขทางสถิติ “แต่ก่อนยายเคยคิดว่าแก่แล้วจะได้พักผ่อน อยู่กับลูกหลานอย่างมีความสุข แต่ความจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย” คำพูดของยายชอ้อน วัย 85 ปี ชาว อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี เปิดประตูสู่โลกแห่งความท้าทายที่ผู้สูงวัยในสังคมไทยต้องเผชิญ
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรครั้งใหญ่ โดยคาดการณ์ว่าภายในปี 2568 สัดส่วนประชากรผู้สูงอายุจะสูงถึง 30% ของประชากรทั้งหมด การเปลี่ยนแปลงนี้นำมาซึ่งความท้าทายหลากหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสาธารณสุข ที่ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและเป็นระบบ
บทความนี้จะพาผู้อ่านดำดิ่งลงสู่ความเป็นจริงของสังคมสูงวัยในประเทศไทย ผ่านเรื่องราวของ “ยายชอ้อน” และข้อมูลเชิงสถิติ เพื่อเผยให้เห็นถึงปัญหาที่ซ่อนเร้นและความท้าทายที่รอการแก้ไข ตั้งแต่ความยากจนและความไม่มั่นคงทางการเงิน ปัญหาสุขภาพและการเข้าถึงการรักษา ความเหงาและการขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ไปจนถึงช่องว่างทางดิจิทัลที่ทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
สถิติที่บ่งบอกถึงสังคมสูงวัย
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ (2564) ระบุว่าประเทศไทยมีประชากรผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) คิดเป็น 18% ของประชากรทั้งหมด และสัดส่วนนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คาดว่าจะแตะ 30% ภายในปี 2568 การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจ สังคม และระบบสาธารณสุข ซึ่งเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ที่ประเทศไทยต้องเผชิญ คล้ายคลึงกับหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์
ความยากจนและความไม่มั่นคงทางการเงิน
เมื่อถามถึงเรื่องค่าใช้จ่าย ยายชอ้อน บอกว่าเบี้ยยังชีพที่ได้รับเดือนละ 800 บาท (สำหรับผู้สูงอายุ 80-89 ปี) นั้นไม่เพียงพออย่างแน่นอน “มันแทบไม่พอซื้อข้าวซื้อกับข้าวเลย ค่าน้ำค่าไฟยังไม่ได้คิด ยาบางตัวที่ต้องซื้อเองก็แพงมาก” สถิติชี้ให้เห็นตามนั้นจริง ข้อมูลจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (2563) พบว่าร้อยละ 34.7 ของผู้สูงอายุมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน ซึ่งสะท้อนปัญหาความไม่มั่นคงทางการเงินในวัยชรา
ปัญหาสุขภาพและการเข้าถึงการรักษา
นอกจากความเหงา ปัญหาสุขภาพก็เป็นอีกเรื่องที่ยายชอ้อนต้องเผชิญ “ยายเป็นโรคเบาหวาน ความดันสูง ข้อเข่าก็เสื่อม บางทีอยากไปไหนมาไหนก็ไม่สะดวก” ยายชอ้อนเล่าพลางถอนหายใจเบาๆ ตามสถิติ 95% ของผู้สูงอายุไทยมีโรคเรื้อรังอย่างน้อย 1 โรค โดยความดันโลหิตสูง เบาหวาน และข้อเข่าเสื่อม เป็น 3 โรคยอดนิยม (กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, 2564)
“การไปโรงพยาบาลแต่ละครั้งเหมือนการเดินทางไกล ต้องตื่นแต่เช้ามืด นั่งรถประจำทางหลายต่อ” ยายชอ้อนกล่าวถึงความยากลำบากในการเข้าถึงบริการสุขภาพ ประเด็นนี้ สะท้อนความจำเป็นของการพัฒนาระบบสาธารณสุขที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ และการนำเทคโนโลยีอย่างเทเลเมดิซินมาใช้ เพื่อลดอุปสรรคด้านการเดินทางและเพิ่มการเข้าถึงการรักษาสำหรับผู้สูงวัย
ความเหงาและการขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
“ลูกๆ ก็มีครอบครัวของเขา ยายไม่อยากรบกวน บางทีอาทิตย์นึงโทรมาครั้งเดียว มาเยี่ยมเดือนละครั้งก็ถือว่าดีแล้ว บางวันแทบไม่ได้คุยกับใครเลย” ยายชอ้อนเล่าด้วยน้ำตาคลอ สะท้อนปัญหาความเหงาและการถูกทอดทิ้งที่ผู้สูงอายุต้องเผชิญ ข้อมูลระบุว่า 36% ของผู้สูงอายุไทยอาศัยอยู่ตามลำพังหรือกับคู่สมรสเท่านั้น (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2564) ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพจิตในวัยชรา การสนับสนุนจากครอบครัวและชุมชนจึงเป็นสิ่งสำคัญ ความอบอุ่นในช่วงบั้นปลายชีวิตไม่ควรเป็นเพียงความฝัน
เมื่อโลกดิจิทัลก้าวไปไกลเกินเอื้อม
“ลูกๆ บอกให้ยายใช้ไลน์ ใช้เฟซบุ๊ก จะได้ติดต่อกันง่าย แต่ยายกดไม่เป็น บางทีก็รู้สึกโง่ รู้สึกตามโลกไม่ทัน” ยายชอ้อนเล่าอย่างอับอาย สะท้อนปัญหาช่องว่างดิจิทัลระหว่างรุ่น มีผู้สูงอายุเพียง 24.5% เท่านั้นที่ใช้อินเทอร์เน็ตได้ (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2564) การส่งเสริมทักษะดิจิทัลและการพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับผู้สูงอายุจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อไม่ให้ใครถูกทิ้งไว้ข้างหลังในยุคเทคโนโลยี
เมื่อบั้นปลายชีวิตถูกซ้ำเติมด้วยความกลัว
“ยายกลัวว่าสักวันจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ กลัวว่าจะเป็นภาระให้ลูกหลาน กลัวว่าจะต้องไปอยู่บ้านพักคนชรา” ยายชอ้อนเล่าถึงความกลัวที่ไม่กล้าบอกใคร ความกลัวที่แท้จริงแล้วเป็นผลสะท้อนจากความไม่พร้อมทางการเงินและการขาดหลักประกันในยามชรา ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (2563) ระบุว่ามีผู้สูงอายุเพียง 37% ที่มีเงินออมเพียงพอสำหรับวัยเกษียณ การส่งเสริมการเตรียมความพร้อมและการวางแผนทางการเงินตั้งแต่วัยทำงานจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ผลกระทบในระดับมหภาค
ผลกระทบของสังคมสูงวัยไม่ได้จำกัดอยู่แค่ระดับบุคคล แต่ยังส่งผลกระเทือนไปถึงเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง การสูญเสียแรงงานราว 5 ล้านคนในอีก 10 ปีข้างหน้า (ธนาคารแห่งประเทศไทย, 2565) จะส่งผลต่อการผลิตและการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในขณะเดียวกัน ภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าในอีก 20 ปีข้างหน้า (สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2564) จะสร้างแรงกดดันต่อภาระทางการคลังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การปฏิรูประบบบำนาญและสวัสดิการให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนจึงเป็นความท้าทายสำคัญของภาครัฐ
นอกจากนี้ สังคมสูงวัยยังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริโภคที่สำคัญ โดยความต้องการสินค้าและบริการด้านสุขภาพ การดูแลระยะยาว และสินค้าสำหรับผู้สูงอายุ จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ภาคธุรกิจจึงควรปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดผู้สูงอายุที่กำลังเติบโต ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการตอบโจทย์ความต้องการของสังคม
โอกาสในการพัฒนาและสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้
ท่ามกลางความท้าทาย การเข้าสู่สังคมสูงวัยก็เป็นโอกาสในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ผู้สูงอายุ เช่น เทคโนโลยีสุขภาพ ระบบบ้านอัจฉริยะ และแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ โดยเฉพาะการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ที่จะช่วยให้ผู้สูงอายุพัฒนาทักษะ รักษาความกระตือรือร้นทางปัญญา และคงไว้ซึ่งคุณค่าของตนเอง สอดคล้องกับความฝันของ ยายชอ้อน ที่อยากเห็นผู้สูงอายุมีบทบาทในสังคมและสามารถถ่ายทอดภูมิปัญญาให้คนรุ่นใหม่ได้
“จากยายชอ้อนถึงสังคมสูงวัย: ปัญหาซับซ้อน ร่วมใจแก้ไข”
เรื่องราวของ ยายชอ้อน สะท้อนให้เห็นว่าความท้าทายของสังคมสูงวัยนั้นซับซ้อนและเชื่อมโยงกันหลายมิติ การแก้ไขปัญหาจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของสังคม ภาครัฐควรเร่งปฏิรูประบบสวัสดิการและบริการสาธารณสุข พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ในขณะที่ภาคเอกชนควรมุ่งสร้างโอกาสการทำงานที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ พัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการ และมีส่วนร่วมในการส่งเสริมการวางแผนทางการเงินระยะยาว ภาคประชาสังคมก็มีบทบาทสำคัญในการสร้างเครือข่ายชุมชนที่เกื้อหนุนผู้สูงวัย ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและการถ่ายทอดภูมิปัญญาระหว่างรุ่น
อย่างไรก็ตาม บทบาทที่สำคัญที่สุดอาจเป็นของครอบครัว ในการดูแลและให้การสนับสนุนผู้สูงอายุทั้งด้านกายภาพ จิตใจ และการเงิน เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความอบอุ่นจากคนใกล้ชิดคือหัวใจสำคัญของความสุขในบั้นปลายชีวิต
“สังคมสูงวัยไม่สิ้นหวัง: เรียนรู้จากยายชอ้อน ร่วมสร้างอนาคตที่ทุกคนมีคุณค่า”
เรื่องราวของยายชอ้อนไม่เพียงสะท้อนความท้าทายของสังคมสูงวัย แต่ยังแฝงด้วยความหวังและพลังบวกที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง การเปิดใจรับฟังเสียงของผู้สูงอายุจะทำให้เราเข้าใจปัญหาที่แท้จริง นำไปสู่การออกแบบนโยบายและแนวทางแก้ไขที่ตรงจุด การแก้ไขปัญหาของผู้สูงอายุไม่ใช่แค่หน้าที่ แต่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคต เพราะการสร้างสังคมที่ดูแลผู้สูงอายุได้ดี ย่อมเป็นสังคมที่น่าอยู่สำหรับทุกคน
การเข้าสู่สังคมสูงวัยไม่ใช่วิกฤต หากเราเลือกมองเป็นโอกาสในการพัฒนา และหันมาร่วมมือกันทุกภาคส่วนเพื่อสร้างสังคมที่อบอุ่นและยั่งยืนสำหรับคนทุกวัย ดังเช่นที่ ยายชอ้อน กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ถ้าเราดูแลผู้สูงอายุให้ดีวันนี้ วันข้างหน้าลูกหลานก็จะดูแลเราดีเหมือนกัน สังคมที่ดีต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะผู้ที่เคยทำคุณประโยชน์ให้กับสังคมมาก่อน”
อ้างอิง
สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ)
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10156374286463106&id=144490368105&set=a.181206533105
กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. (2564). สถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2564
สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2564). รายงานการสำรวจภาวะสังคมผู้สูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. 2564
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2563). แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570)
เรียบเรียง / ภาพ : ศศิณา สุภาพันธุ์