
กระแสข่าวปลอมเรื่อง “ซื้อขายอวัยวะ” ที่อ้างราคาสูงลิ่ว เช่น ไตข้างละ 4.7 ล้านบาท หรือปอดข้างละ 9.2 ล้านบาท สร้างความตื่นตระหนกในสังคมไม่น้อย ทว่าเมื่อตรวจสอบข้อมูลจริงจากสภากาชาดไทย กลับพบสถิติที่สะท้อนสถานการณ์ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง — ประเทศไทยกำลังเผชิญภาวะขาดแคลนอวัยวะสำหรับการปลูกถ่ายอย่างหนัก และไม่มีระบบตลาดซื้อขายอวัยวะแต่อย่างใด
ข้อมูล ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 พบว่ามีผู้รอรับการปลูกถ่ายอวัยวะรวม 7,436 คน โดยเฉพาะผู้รอ “ไต” มีมากถึง 6,897 คน หรือเกือบ 93% ของผู้รอทั้งหมด ขณะที่จำนวนผู้บริจาคอวัยวะจริง ๆ ในปี 2567 อยู่ที่ 429 ราย และในปี 2568 (ข้อมูลถึงเดือนกุมภาพันธ์) มีเพียง 204 รายเท่านั้น ช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่าง “ความต้องการ” และ “การบริจาคที่เกิดขึ้นจริง” ยังคงเป็นปัญหาเรื้อรัง แม้ว่าจำนวนผู้แสดงความจำนงบริจาคจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2567 มีถึง 127,934 คน
การปลูกถ่ายอวัยวะในไทยต้องดำเนินการผ่านโรงพยาบาลที่เป็นสมาชิกศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย ภายใต้กฎเกณฑ์ที่เข้มงวด และห้ามมีค่าตอบแทนใด ๆ เพื่อป้องกันการค้าอวัยวะอย่างผิดกฎหมาย การปล่อยข่าวเท็จว่ามีตลาดมืดซื้อขายอวัยวะในไทย จึงไม่เพียงสร้างความเข้าใจผิด แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของสังคมในระบบบริจาคอวัยวะที่โปร่งใสและปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขผู้บริจาคที่เกิดขึ้นจริงยังน้อยมากเมื่อเทียบกับผู้สมัครใจ สะท้อนปัญหาเชิงสังคมที่ลึกซึ้ง หนึ่งในอุปสรรคสำคัญคือ ความลังเลของครอบครัวผู้เสียชีวิต แม้บุคคลจะแสดงเจตจำนงบริจาคไว้ก่อน แต่หากครอบครัวไม่ยินยอม กระบวนการบริจาคก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ความเชื่อทางศาสนา ความห่วงใยต่อสภาพร่างกายหลังเสียชีวิต และความไม่มั่นใจในกระบวนการแพทย์ ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ แม้ในยุคที่ข้อมูลออนไลน์แพร่หลาย
อีกหนึ่งข้อจำกัดคือ เงื่อนไขทางการแพทย์ ผู้เสียชีวิตที่จะบริจาคอวัยวะได้ ต้องเป็นผู้เสียชีวิตจากภาวะสมองตายเท่านั้น ต้องไม่ติดโรคร้ายแรง ไม่เสียหายภายใน และต้องอยู่ในโรงพยาบาลที่พร้อมดำเนินการปลูกถ่ายทันที ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนักเมื่อเทียบกับจำนวนการเสียชีวิตโดยรวม
ในภาพรวม สถานการณ์บริจาคอวัยวะในไทยจึงสะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการ สร้างความเข้าใจใหม่ในสังคม ทั้งในระดับปัจเจก ครอบครัว และระบบบริการสาธารณสุข การผลักดันการรณรงค์อย่างต่อเนื่อง การเสริมสร้างศรัทธาต่อระบบการแพทย์ และการยกระดับวาระการบริจาคอวัยวะให้เป็น “วาระสาธารณะ” ไม่ใช่แค่เรื่องส่วนบุคคล จะเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยน “ความตั้งใจช่วยชีวิต” ให้กลายเป็น “การลงมือทำ” อย่างแท้จริง