ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับการลงมติโหวตนายกรัฐมนตรี โดยพรรคเพื่อไทยได้เสนอชื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน ในการลงโหวตครั้งนี้ พร้อมฝ่าด่าน สว. ได้สำเร็จ ด้วยมติเห็นชอบ 482 เสียง ไม่เห็นชอบ 165 เสียง และ งดออกเสียง 81 เสียง โดยมีผู้ร่วมลงคะแนน 728 เสียง ส่งผลให้นายเศรษฐา ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าจับตามองในการโหวตนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ คือ กรณี ส.ส. แหกมติพรรคของ พรรคประชาธิปัตย์ ที่ก่อนหน้านี้ที่ประชุมพรรคมีมติให้ ‘งดออกเสียง’ ในการโหวตนายกรัฐมนตรี วันที่ 22 ส.ค.66
แต่กระนั้นพอถึงวันโหวตนายกรัฐมนตรี กลับมี ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์จำนวน 16 คน จาก ส.ส. ของพรรคทั้งสิ้น 25 คน โหวตเห็นชอบให้นายเศรษฐา นั่งเก้านายกรัฐมนตรี
ซึ่งกลายเป็นปมสร้างความสั่นคลอนภายในพรรคเพิ่มมากยิ่งขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้ปัญหาเรื่องการแต่งตั้งหัวหน้าพรรคก็ยังไม่มีความชัดเจน และสถานการณ์ภายในพรรคเองก็เหมือนว่าจะมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายไม่ลงรอยกันอยู่
‘รอยร้าว’ ในครั้งนี้ ดูเหมือนว่าจะยิ่งทวีความรุนแรงของปัญหาภายในพรรคมากขึ้น แม้ในการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคประธิปัตย์สามารถคว้าเก้าอี้ ส.ส. ได้เพียง 25 คน ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงคะแนนนิยมที่ถดถอยลงไปเรื่อย ๆ เนื่องด้วยความไม่ชัดของพรรคเอง
เสียงจาก 1 ใน 16 ส.ส. แหกมติพรรค
ในการโหวตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 ส.ค.66 โดยพรรคประชาธิปัตย์ จำนวน 25 เสียง หลังการโหวตพบว่ามี ส.ส.ของพรรค จำนวน 16 คน โหวตสวนมติพรรค ซึ่งกลับไปลงคะแนนเห็นชอบ โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการเลขาธิการพรรค โดย 16 ส.ส. ที่โหวตเห็นชอบมีดังนี้
- นายเดชอิศม์ ขาวทอง ส.ส.สงขลา
- นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช
- ว่าที่ร.ท.ยุทธการ รัตนมาศ ส.ส.นครศรีธรรมราช
- นายพิทักษ์เดช เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช
- นายจักพันธ์ ปิยพรไพบูลย์ ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์
- นางสุพัชรี ธรรมเพชร ส.ส.พัทลุง
- นายศักดิ์สิทธิ์ ขาวทอง ส.ส.สงขลา
- นายยูนัยดี วาบา ส.ส.ปัตตานี
- นายชาตรี หล้าพรหม ส.ส.สกลนคร
- นายทรงศักดิ์ มุสิกอง ส.ส.นครศรีธรรมราช
- นายสมบัติ ยะสินธุ์ ส.ส.แม่ฮ่องสอน
- นางสาวสุภาพร กำเนิดผล ส.ส.สงขลา
- นายกาญจน์ ตั้งปอง ส.ส.ตรัง
- นายวุฒิพงษ์ นามบุตร ส.ส.อุบลราชธานี
- นางอวยพรศรี เชาวลิต ส.ส.นครศรีธรรมราช
- พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ ส.ส.สงขลา
โหวตลงมติงดออกเสียงตามมติพรรค มี 6 คน และ โหวตไม่เห็นชอบ 2 คน ขณะที่นายราชิต สุดพุ่ม ส.ส.นครศรีธรรมราช แจ้งลาประชุมเพราะมีปัญหาสุขภาพ
โดยนายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็น 1 ใน 16 เสียงที่โหวตสวนมติพรรค ได้ชี้แจงว่า โดยยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องของการขอร่วมรัฐบาล ซึ่งที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์ก่อนหน้านั้น แม้จะมีความเห็นสรุปให้งดออกเสียง แต่ก็มีความคิดเห็นของผู้ที่ร่วมประชุมหลากหลายกันไป
ส่วนตัวมองว่า ขณะนี้ผ่านมา 3 เดือนแล้วยังไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลและยังไม่มีนายกรัฐมนตรี จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีนายกฯ และรัฐบาล เพื่อขับเคลื่อนประเทศ แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า แม้ว่าการโหวตเลือกนายกฯ จะเป็นเอกสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ แต่ข้อบังคับพรรคก็มีอยู่ ซึ่งหากมีสมาชิกเข้าชื่อกันร้องให้ตรวจสอบ หรือ สอบสวนตามข้อบังคับพรรค ก็จะมีการตั้งคณะกรรมการมีสอบสวนข้อเท็จถึงกรณีดังกล่าว
ส่วนเหตุผลที่มี ส.ส.โหวตสวนมติพรรคนั้น ไม่ได้มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าแต่อย่างใด และทางพรรคยังไม่เคยมอบใครไปเจรจาเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคการเมืองใดทั้งสิ้น จนถึงขณะนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนยืนยันมาตลอด
“สิ่งหนึ่งที่ผมขอเรียนตรงนี้ก็คือ ประชาธิปัตย์มีศักดิ์ศรี เราเคยเป็นทั้งรัฐบาล เคยเป็นทั้งฝ่ายค้าน จะเป็นอะไรก็เป็น ไม่มีปัญหาแต่เราไม่เคยไปเป็นพรรคอะไหล่ ผมคิดว่าเราชัดเจนในเรื่องนี้”
รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
…
ปัญหาที่ยังไม่ได้สะสางของ ‘พรรคประชาธิปัตย์’
หลังการเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 พรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส. เพียง 25 คน ทำให้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อผลการเลือกตั้งที่เกิดขึ้น
แล้วยิ่งไปกว่านั้นการสอบตกของ ส.ส. ในพื้นที่ กทม. ซึ่งเดิมถือว่าเป็นพื้นที่ฐานเสียงสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ก็กลับไร้ชื่อ ส.ส. ของพรรคประชาธิปัตย์ อีกทั้งเป็นการสอบตกถึง 2 สมัยติดต่อกัน ในขณะที่พื้นที่ฐานเสียงภาคใต้ก็กลับถูกพรรคอื่นเบียดแซงแย่งที่นั่ง ส.ส. ไปแบบชนิดไม่เหลือเค้าลางเดิม ตอกย้ำความตกต่ำของพรรคประชาธิปัตย์ที่มิอาจแก้ตัวได้
นำไปสู่การจัดประชุมใหญ่วิสามัญประจำปี 2566 ของพรรคประชาธิปัตย์ ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2566 ก่อนที่ประชุมจะล่มลงในที่สุด อันเนื่องมาจากที่ประชุมได้มีการยืนยันจะใช้น้ำหนักคะแนน 70 ต่อ 30 ตามข้อบังคับของพรรค เพื่อเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่
แต่อีกเสียงส่วนหนึ่งเสนอให้มีการเลื่อนการเลือกตั้งออกไปก่อนรวมถึงเสนอให้ปรับสัดส่วนการคิดคะแนนใหม่ ท้ายที่สุดในการประชุมวันนั้นก็ล่มไปแบบไม่เป็นท่า เนื่องจากมีผู้เข้าร่วมไม่ครบองค์ประชุม
และจนมาถึงปัจจุบันนี้การแต่งตั้งหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังไม่มีความชัดเจน อันเนื่องมาจากภายในพรรคมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเป็น 2 กลุ่มก้อน
2 กลุ่ม 2 แนวทาง
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ณ ขณะนี้ภายในพรรคประชาธิปัตย์เองมีการแบ่งฝ่ายเป็น 2 กลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรกเป็นกลุ่มของอำนาจเก่า ที่นำโดยนายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน และนายสาธิต ปิตุเตชะ รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่ม อดีต ส.ส. ซึ่งกลุ่มที่สนับสนุนและพยายามดึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้กลับมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอีกครั้ง
ในส่วนของกลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการเลขาธิการพรรค ซึ่งเป็นกลุ่มของ 16 ส.ส. ที่โหวตสวนมติพรรคในการโหวตนายกรัฐมนตรีครั้งล่าสุด ที่มีท่าทีสนับสนุนนายนราพัฒน์ แก้วทอง รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค
โดยวิถีทางการเมืองของ 2 กลุ่มนี้ มีความแตกต่างกันอย่างมาก โดยในฝั่งของกลุ่มอำนาจเก่าของพรรคประชาธิปัตย์ หลังการเลือกตั้งที่ผ่านมาพยายามยืนหยัดมาตลอด ถึงแนวทางทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งศัตรูทางการเมืองอย่างพรรคเพื่อไทย ที่ต่อสู้กันมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และมาจนถึงพรรคเพื่อไทย
ในขณะที่กลุ่มอำนาจใหม่ มีทิศทางการเมืองที่ค่อนข้างไหลตามสถานการณ์ทางการเมือง เพื่อให้อยู่ในกลุ่มขั้วอำนาจรัฐบาลเดิมอย่างพรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย และพรรครวมไทยสร้างชาติ ในการร่วมสร้าง ‘รัฐบาลพิเศษ’
วิถีการเมืองที่แตกต่างของ 2 กลุ่มนี้ จึงนำไปสู่ความไม่ลงรอยภายในพรรคเอง ซึ่งเห็นได้ชัดเจนในการโหวตนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ถึงการสวมมติพรรคของ 16 ส.ส. แม้จะมีการออกมาแก้ต่างว่าเป็นการทำเพื่อชาติบ้านเมือง ต้องการเห็นประเทศชาติขับเคลื่อนไปข้างหน้าก็ตาม แต่ก็คงเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นหากมีต้องชี้แจงต่อกลุ่มอำนาจเก่า
…
ต้องจับตาดูว่าทางพรรคประชาธิปัตย์จะมีการแก้ไขฟื้นฟูปัญหาภายในพรรคเช่นไร จะสร้างความชัดเจนและความมั่นใจให้กับกลุ่มคะแนนเสียงได้หรือไม่ เพราะหากดูจากการเลือกตั้งใน 2 ครั้งที่ผ่านมานั้น คะแนนนิยมของทางพรรคก็ยิ่งจะลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ๆ
รวมถึงหากการตั้งคณะกรรมการสอบสวน 16 ส.ส. ขึ้นมา และมีการขับไล่ออกจากพรรคเอง ก็ทำให้เสียงจากพรรคประชาธิปัตย์จะลดลงต่ำกว่า 10 เสียงเท่านั้น
ซึ่งหากความชัดเจนทั้งภายในพรรคเองและวิถีทางการเมืองที่ยังไม่สามารถเป็นเอกภาพภายในพรรคได้ เชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าเราอาจจะได้เห็น ส.ส. จากพรรคประชาธิปัตย์ลดน้อยลงไปมากกว่านี้ก็เป็นได้