KEY :
- รมว.กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันปรับ “โควิด” เป็นโรคติดต่อเฝ้าระวังวันที่ 1 ต.ค.นี้
- ย้ำให้กลุ่มเสี่ยง 608 ยังต้องมารับวัคซีนเข็มกระตุ้น เนื่องจากขณะนี้ผู้เสียชีวิตจากโควิดยังเป็นกลุ่มนี้เกือบ 100%
- ส่วนเรื่องยาต้านไวรัส ผู้ป่วยทุกรายไม่จำเป็นต้องรับยาต้าน ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์
วานนี้ (7 กันยายน 2565) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข ว่า วันที่ 1 ตุลาคมนี้ จะมีผู้บริหารเข้ารับตำแหน่งใหม่ทั้งปลัด รองปลัด และอธิบดี ซึ่งเป็นช่วงที่มีการปรับโรคโควิด 19 จากโรคติดต่ออันตราย เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง
ยืนยันว่าการดำเนินงานต่าง ๆ จะไม่มีรอยต่อและไม่มีผลกระทบต่อการบริการประชาชน ระบบการดูแลต่าง ๆ มีความพร้อม อย่างไรก็ตาม ขอย้ำให้กลุ่มเสี่ยง 608 ยังต้องมารับวัคซีนเข็มกระตุ้น เนื่องจากขณะนี้ผู้เสียชีวิตจากโควิดยังเป็นกลุ่มนี้เกือบ 100% รวมทั้งยังแนะนำให้สวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องไปในพื้นที่เสี่ยงหรือร่วมกิจกรรมที่มีความเสี่ยง
นายอนุทินกล่าวต่อว่า สำหรับการลงนามกับไฟเซอร์ เพื่อจัดซื้อวัคซีนโควิด 19 สำหรับเด็กอายุ 6 เดือน – ต่ำกว่า 5 ปี ในส่วนของสัญญามีการเจรจาและผ่านมติ ครม.รวมถึงความเห็นชอบของไฟเซอร์แล้ว คาดว่าจะมีการลงนามระหว่างกรมควบคุมโรคและไฟเซอร์ในช่วงบ่ายวันนี้ และจะเริ่มทยอยส่งมอบในช่วงเดือนตุลาคมนี้ไปจนครบ 3 ล้านโดส ส่วนแนวทางบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19 ในปี 2566 ต้องรอการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ว่าจำเป็นต้องฉีดกระตุ้นหรือไม่ ต้องเน้นกลุ่มเสี่ยงใด จำนวนเท่าใด ซึ่งรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุน
“ส่วนเรื่องยาต้านไวรัสนั้น กระทรวงสาธารณสุขมีการติดตามการใช้งานและสำรองไว้อย่างเหมาะสม ซึ่งผู้ป่วยทุกรายไม่จำเป็นต้องรับยาต้านไวรัส ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ และหากแพทย์เห็นว่าไม่จำเป็นต้องรับยาก็ไม่ควรไปซื้อมารับประทานเอง โดยการซื้อยาต้านไวรัสในร้านขายยาต้องใช้ใบสั่งแพทย์ เนื่องจากยังเป็นยาที่อนุญาตให้ใช้ในภาวะฉุกเฉิน”
นายอนุทินกล่าว