คัดลอก URL แล้ว

Lexus LM โฉมใหม่ ยกระดับความสะดวกสบายของภายในที่จัดหนักไปอีกขั้น

Lexus เปิดตัว All-new Lexus LM รถตู้หรูรุ่นใหม่ล่าสุดครั้งแรกของโลกในงาน Shanghai International Auto Show หรือ Auto Shanghai 2023 ขณะที่ตลาดญี่ปุ่นซึ่งจะได้รับการเปิดตัวครั้งแรกในโฉมนี้ ก็จะมีแพลนเปิดตัวในฤดูใบไม้ร่วงปีเดียวกันตามลำดับ

Lexus LM เจนเนอเรชั่นแรก ได้รับการจำหน่ายครั้งแรกเมื่อปี 2020 ที่ได้รับการพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการรถ MPV หรูในประเทศจีน และภูมิภาคเอเชีย ซึ่งมีให้เลือกทั้งรุ่น 4 ที่นั่ง 6 ที่นั่ง และ 7 ที่นั่ง โดยรถรุ่นนี้ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้ใช้งานจริงในหลาย ๆ ประเทศ

ด้วยความสำเร็จของโมเดลรถตู้หรู ทางบริษัทฯ จึงได้ทำการพัฒนา Lexus LM เจนเนอเรชั่นใหม่ ค่านิยมของผู้ใช้ในตลาดลักซ์ซัวรี่ ผ่านการทบทวนคุณค่า การถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่ และการฟังเสียงของลูกค้าเพื่อพัฒนาต่อยอด และยกระดับความเป็น “Luxury Mover” ให้ดีขึ้นไปอีกขั้น เป้าหมายคือการสร้างที่นั่ง และพื้นที่ใช้สอยที่สะดวกสบาย ผู้โดยสารทุกคนสามารถพักผ่อนได้อย่างเป็นธรรมชาติ ผู้ขับขี่สามารถสัมผัสกับความสุขในการขับขี่โดยไม่ต้องกังวลกับการขับขี่แบบเดิม ๆ รวมถึงสามารถใช้เวลาอยู่ในรถได้อย่างสะดวกสบายโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเสียงหรือการสั่นสะเทือนที่ไม่พึงประสงค์ และฟังก์ชั่นการใช้งานที่ยุ่งยากอีกต่อไป

อ่านข่าวเพิ่มเติม:

ภายนอกที่สะท้อนเอกลักษณ์ใหม่ของแบรนด์

การออกแบบภายนอกของ All-new Lexus LM เป็นไปตามภาษาการออกแบบของเลกซัส ซึ่งคำนึงถึงรูปลักษณ์ที่สง่างาม สมรรถนะด้านแอโรไดนามิก และสไตล์ เริ่มจากกระจังหน้า Spindle Grill ดีไซน์ใหม่เหมือนเกล็ดที่ล่องลอย และมีสีเดียวกับตัวถังที่มอบความเรียบง่าย และให้ประสิทธิภาพการไหลของอากาศที่ดีขึ้น รับกับไฟหน้า LED ดีไซน์ใหม่, เส้นสายตัวถังที่โฉบเฉี่ยวกว่าเดิม รับกับไฟท้าย LED ขนาดใหญ่ได้อย่างลงตัว

อีกทั้งล้อยังมีขนาดที่แตกต่งกัน โดยล้อหน้าจะเป็นขนาด 19 นิ้ว หุ้มยาง 225/55R19 และล้อหลัง 17 นิ้ว หุ้มยางขนาด 225/65R17 ที่ได้ออกแบบเพื่อให้ประสิทธิภาพในการขับขี่ดีขึ้น และความนุ่มนวลของพื้นที่โดยสารด้านหลังโดยเฉพาะ

Lexus LM มาพร้อมมิติตัวถังยาว x กว้าง x สูง ที่ 5,125 x 1,890 x 1,955 มม. ระยะฐานล้อ 3,000 มม. เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าจะยาวเพิ่มขึ้น 85 มม. กว้างขึ้น 40 มม. สูงขึ้น 10 มม. แต่ระยะฐานล้อมีขนาดเท่าเดิม

การออกแบบภายในที่พิถีพิถันเพื่อมอบความสะดวกสบายสูงสุด

ขณะที่การออกแบบภายใน ผสมผสานการใช้งาน และความรู้สึกที่หรูหรา เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ และความพิถีพิถัน ผ่านการตกแต่งภายในด้วยวัสดุคุณภาพสูง และการประกอบที่ประณีต อีกทั้งภายในห้องโดยสารมี 2 สีให้เลือก ได้แก่ สีขาว Solis White พร้อมตกแต่งด้วยขอบทองแดง และสีดำ ที่ตกแต่งด้วยชิ้นส่วนสีเทาเพื่อสร้างมิติภายใน

ด้านพื้นที่คนขับและพื้นที่โดยสารได้ออกแบบภายใต้แนวคิด Tazuna Concept ที่นอกจากจะมอบความกว้างขวางแล้ว ยังช่วยเพิ่มทั้งสมาธิ เพิ่มความสะดวกสบายแก่ผู้ขับขี่ ด้วยเรือนไมล์จอดิจิทัล และจออินโฟเทนเมนต์ที่รวมเป็นหนึ่งเดียว วางบนลอยคอนโซลที่เรียบง่าย ที่ลดปุ่มควบคุมให้น้อยลงโดนเน้นการควบคุมผ่านพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น และระบบสัมผัส

อีกทั้งพื้นที่โดยสารจะมีทั้งแบบ 4 ที่นั่ง พร้อมฉากกั้นห้องคนขับที่มีทั้งกระจกหน้าต่างพร้อมระบบเปิด-ปิดฝ้าเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัว, จอเธียเตอร์ขนาด 48 นิ้ว, เก้าอี้แบบ Captain Seat ระดับพรีเมี่ยม ขณะที่รุ่น 6 และ 7 ที่นั่ง จะไม่มีฉากหลัง แต่พื้นที่โดยสารตรงกลางจะมาพร้อมเบาะ Captain Seat ที่มีขนาดเล็กกว่าเพื่ออำนวยความสะดวกในการขึ้น-ลง ของผู้โดยสารตอนที่ 3

มอบสัมผัสที่สะดวกสบาย และความพรีเมี่ยมในการโดยสารด้วยการออกแบบเบาะนั่งใหม่ที่ได้นำข้อมูลวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของร่างกายผู้โดยสารในระหว่างนั่ง ไปจนถึงการออกแบบหมอนรองศัรษะเพื่อลดการเคลื่อนไหวของศีรษะและทำให้แนวสายตาของผู้โดยสารคงที่ไม่ว่าจะขับบนท้องถนนในสภาวะใด เช่น การขึ้น-ลงเนิน เข้าโค้ง หรือแม้แต่วิ่งบนทางขรุขระ ส่งผลให้เบาะนั่งแถวหน้าสามารถรองรับสรีระได้ดียิ่งขึ้น ส่วนเบาะหลังแถวสองเป็นต้นไปได้เสริมวัสดุดูดซับแรงกระแทก 2 ประเภทที่ช่วยลดแรงสั่นสะเทือนขณะหยุดนิ่งและขณะเคลื่อนที่ และยังมีขนาดที่ใหญ่ โอบรับกระชับตัวเป็นอย่างดี

ขณะเดียวกันก็ยังมีเซ็นเซอร์ IR Matrix ซ่อนใต้เบาะ และที่วางแขน เพื่อตรวจจับอุณหภูมิของร่างกาย และสามารถเปิดระบบควบคุมอุณหภูมิเฉพาะส่วนได้โดยอัตโนมัติ รวมถึงตั้งค่าปรับอุณหภูมิของแอร์ และฮีทเตอร์เพื่อให้อุณหภูมิที่เหมาะสมโดยอัตโนมัติเพื่อความผ่อนคลาย

ผู้โดยสารสามารถควบคุมอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ตำแหน่งที่นั่ง ระบบนวด ระบบปรับอากาศ ระบบเครื่องเสียง ม่านบังแดด และระบบแสงสว่างส่วนตัวได้ผ่านจอทัชสกรีนบนที่วางแขน และผ่านแอปพลิเคชั่นบนแท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน โดยฟีเจอร์ดังกล่าวจะครอบคลุมทั้งรุ่น 4 ที่นั่ง 6 ที่นั่ง และ 7 ที่นั่ง

นอกจากนี้ยังเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอีกหลายรายการ อาทิ ไฟสร้างบรรยากาศที่เลือกได้มากถึง 64 เฉดสี และสามารถตั้งค่าไฟสร้างบรรยากาศแบบแยกโซนตามความชื่นชอบของผู้โดยสารที่แตกต่างกันได้, โต๊ะแบบยืดหดได้ซึ่งพอดีกับที่วางแขนด้านในมีขนาดใหญ่พอที่จะวางแท็บเล็ต เอกสาร หนังสือ หรือแล็ปท็อป, หลังคาซันรูฟแบบแยกโซนซ้ายขวา พร้อมควบคุมด้วยไฟฟ้า

อีกทั้งยังได้คัดสรรวัสดุดูดซับเสียงคุณภาพสูงหลายรายการ และการออกแบบตัวถังที่ช่วยลดการต้านทานอากาศเพื่อลดความรุนแรงของลมปะทะ รวมถึงการอัปเกรดลดการสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์และแชสซี เพื่อช่วลดเสียงรบกวนจากภายนอกให้เข้าสู่ภายในลดลง

อีกขั้นของความแข็งแรงของตัวถัง และเทคโนโลยีช่วงล่างที่มอบความนุ่มนวลกว่าเดิม

สำหรับขุมพลังจะมีให้เลือกด้วยกันสองแบบ ได้แก่ เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 2.4 ลิตร เทอร์โบ พ่วงระบบไฮบริด และ eAxle กับรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 2.5 ลิตร ที่มีให้เลือกทั้งขับล้อหน้า และขับสี่ล้อ E-Four โดยรายละเอียดขุมพลังจะมีการเปิดเผยเพิ่มเติมในลำดับต่อไป

แต่ความน่าสนใจของ Lexus LM รุ่นใหม่ล่าสุดนี้จะมีการยกระดับช่วงล่าง และความแข็งแรงของตัวถังเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น เริ่มจากโครงสร้างตัวถังได้รับการอัปเกรดความแข็งแรงของส่วนกลางตัวถังใหม่ รวมถึงทนทานต่อการบิดงอมากขึ้น 50% โดยการติดตั้งโครงยึดใหม่บนส่วนรองรับหม้อน้ำ และพื้นด้านหลัง, เสริมความแข็งแรงที่เสาหลักสี่ส่วน และเสริมความแข็งแรงที่วงกบประตูท้าย

พร้อมภูมิใจนำเสนอเทคโนโลยีช่วงล่างใหม่ล่าสุด ‘AVS Suspension with Frequency-Sensitive Piston Valve’ ขั้นสูง ที่จะเสริมตัวขับ Adaptive Variable Suspension กับวาล์วลูกสูบที่ไวต่อความถี่ในโช้คอัพ เพื่อยกระดับลดการสั่นสะเทือนที่มากกว่าเดิม มอบความนุ่มนวลห้องโดยสารดีขึ้นอีกขั้น อีกทั้งยังเพิ่มโหมด “Rear Comfort” ให้ผู้ขับขี่ หรือผู้โดยสารสามารถตั้งค่าลดการสั่นสะเทือนได้อีกด้วย

ยกระดับความปลอดภัย มอบความอุ่นใจตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง

และที่สำคัญ Lexus LM โฉมใหม่ล่าสุด มาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง Lexus Safety System+ ซึ่งประกอบไปด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยก่อนการชน ได้แก่ ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ, Dynamic Radar Cruise Control, ระบบแจ้งเตือนรถออกนอกเลน, ระบบตรวจสอบและแจ้งเตือนความผิดปกติของผู้ขับขี่ Abnormal Driver Response System พร้อมระบบช่วยชะลอ และจอดรถอย่างนุ่มนวล

และครั้งแรกของรถรุ่นนี้ที่ได้นำ Lexus e-latch system ที่ครอบคลุมทั้งประตูหน้า และประตูบานเลื่อนที่ช่วยให้การปิดประตูอัตโนมัติทำงานได้นุ่มนวล และ Safe Exit Assist พร้อมระบบควบคุมการเปิดประตู โดยจะทำงานร่วมกัลกล้องมองรอบทิศทางเพื่อตรวจจับรถที่วิ่งผ่านด้านข้างหรือวิ่งสวน, รถจักรยาน, รถจักรยายนต์ และคนเดินเท้า เพื่อให้ตัวรถทำการแจ้งคนขับ และควบคุมประตูให้ล็อกอัตโนมัติจนกว่าจะวิ่งผ่านออกไป เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ


ราคาจำหน่ายของ All-new Lexus LM จะเปิดเผยเพิ่มเติมในโอกาสต่อไป และจะมีแพลนเปิดตัวในต่างประเทศมากถึง 60 ประเทศ รวมถึงยุโรป และญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกอีกด้วย ส่วนในประเทศไทยอาจเตรียมเข้าจำหน่ายภายใน 1-2 ปีข้างหน้าโดยประมาณ สำหรับรุ่นที่จำหน่ายในปัจจุบันจะมีราคาเริ่มต้นที่ 5,500,000 บาท

เครดิตข้อมูลจาก global.toyota


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง