คัดลอก URL แล้ว
สธ. จัดหา “ยาฟาวิพิราเวียร์” อีก 16 ล้านเม็ด ภายใน ก.ค.นี้ ยันมีพอรองรับผู้ป่วยโควิด

สธ. จัดหา “ยาฟาวิพิราเวียร์” อีก 16 ล้านเม็ด ภายใน ก.ค.นี้ ยันมีพอรองรับผู้ป่วยโควิด

นนี้ (14 ก.ค. 64) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์กรกฤช ลิ้มสมมติ ผู้อำนวยการกองบริหารการสาธารณสุข และนายแพทย์วิทูรย์ อนันกุล ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขฉุกเฉิน แถลงข่าวการบริหารทรัพยากรยา เวชภัณฑ์ และเตียงในสถานการณ์โรคโควิด 19 โดยนายแพทย์

นายแพทย์กรกฤช กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการยาและเวชภัณฑ์ขึ้น เพื่อรองรับสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ขณะนี้มียาฟาวิพิราเวียร์ 4 ล้านเม็ดและยาเรมดิซิเวียร์ 1,613 ไวอัล ถือว่ามีเพียงพอสนับสนุนให้กับพื้นที่ตามปริมาณการใช้จริง

อย่างไรก็ตาม ภายในเดือนกรกฎาคมนี้จะมียาฟาวิพิราเวียร์ทยอยเข้ามาอีก 16 ล้านเม็ด ซึ่งการส่งมอบยังเป็นไปตามแผน ถือว่าเพียงพอกับสถานการณ์การระบาดในขณะนี้ แต่ถ้าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงสามารถจัดหาเพิ่มเติมได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากประสานผู้ผลิตในต่างประเทศไว้แล้ว

สำหรับอุปกรณ์ป้องกัน 10 รายการ ได้แก่ หน้ากาก N95, ชุด Coverall & Gown, Shoe cover, Hood cover, Face shield, Leg cover, Disposable cap, Surgical mask, Nitrile glove และ Disposable glove มีการจัดซื้อโดยงบประมาณเงินกู้ เพื่อให้โรงพยาบาลทุกแห่งมีอุปกรณ์ป้องกันในการดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง และป้องกันภาวะขาดแคลนในประเทศ โดยขณะนี้อุปกรณ์ป้องกันทุกรายการมีเพียงพอ

ด้านนายแพทย์วิทูรย์ กล่าวว่า การบริหารจัดการทรัพยากรเตียง ต้องทำให้ปริมาณเตียงในระดับต่างๆและการนำผู้ป่วยเข้าสู่การรักษามีความสัมพันธ์กัน สำหรับ กทม.พบว่า เตียงสำหรับผู้ป่วยสีเขียวว่าง 20 ถึง 24%, เตียงสำหรับผู้ป่วยสีเหลืองในหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Cohort Ward) ว่าง 6% ห้องแยกว่าง 13% และเตียงสำหรับผู้ป่วยสีแดงโดยรวมว่าง 10% ซึ่งการบริหารจัดการในเตียงสำหรับผู้ป่วยแต่ละระดับ คือ การเพิ่มสมรรถนะเตียงสำหรับผู้ป่วยสีเขียวให้สูงขึ้นเพื่อดูแลผู้ป่วยสีเหลืองได้เพิ่มมากขึ้น โดยทดแทนเตียงสำหรับกลุ่มผู้ป่วยสีเขียว

โดยจะมีระบบให้กลุ่มผู้ป่วยสีเขียวสามารถดูแลรักษาที่บ้านหรือที่ชุมชนแทนภายใต้การติดตามอย่างใกล้ชิดและปรับเพิ่มเตียงสีแดงมากขึ้นเท่าที่จะดำเนินการได้ การลดจำนวนผู้ป่วยที่จะกลายเป็นสีแดงเป็นเป้าหมายหลักในการบริหารจัดการ การจะลดจำนวนผู้ป่วยสีแดงจากการศึกษาข้อมูลพบว่า กลุ่มเสี่ยงได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุ และ กลุ่มที่มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค การระดมฉีดวัคซีนทั้ง 2 กลุ่มนี้ให้ได้มากที่สุดครอบคลุม 80% ของประชากรในกรุงเทพมหานคร จะช่วยให้กลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ มีภูมิต้านทานที่จะลดระดับของความรุนแรงของโรคลงได้

นายแพทย์วิทูรย์กล่าวต่อว่า สำหรับเตียงทั่วประเทศไม่รวม กทม. พบว่าเตียงสีเหลืองลดลงมีอัตราการใช้สูงที่สุด ซึ่งสัมพันธ์กับประเภทของผู้ป่วยที่เดินทางจาก กทม. กลับไปยังจังหวัดภูมิลำเนา ในประเด็นของการเคลื่อนย้ายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมมือกันเพื่อดูแลประชาชนอย่างดีที่สุดภายใต้ระบบ การเดินทางต้องดำเนินการอย่างถูกต้องและปลอดภัย

ขณะนี้หลายภาคส่วนได้ประสานงานร่วมกัน ได้แก่ การรับแจ้งผ่านสายด่วน สปสช.1330 ซึ่งจะประสานการจัดหารถส่งตัวกลับภูมิลำเนาอย่างปลอดภัย ส่วนการเดินทางเองก็ต้องทำภายใต้คำแนะนำอย่างถูกต้อง สำหรับเตียงสีแดงในภูมิภาคยังเหลือประมาณ 30% สามารถเพิ่มขยายได้ในศักยภาพที่กระทรวงสาธารณสุขดูแล ส่วนภาพรวมทั้ง 12 เขตสุขภาพหลายเขตเริ่มใช้ทรัพยากรเกิน 80% แต่ทุกจังหวัดมีการวางแผนล่วงหน้าเพื่อป้องกันการขาดแคลนเตียงโดยจะบริหารอย่างดีที่สุดเพื่อดูแลผู้ป่วยในช่วงนี้ สำหรับทรัพยากรอื่นๆ มีการเตรียมอย่างเพียงพอ และย้ำว่าการปฏิบัติตามข้อแนะนำตามมาตรการเพื่อควบคุมโรค รวมถึงการป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัด ทั้งการใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ลดการเดินทาง สถานการณ์จะดีขึ้น


ข่าวที่เกี่ยวข้อง