หลังจากที่เมื่อวานที่ผ่านมาตลอดทั้งวัน ความเคลื่อนไหวของเยฟเกนี พริโกซิน (Yevgeny Prigozhin) หัวหน้ากองทหารรับจ้างแวกเนอร์ ที่ได้ประกาศเคลื่อนพลจากยูเครนไปยังรัสเซีย อยู่ห่างจากกรุงมอสโก เพียงราว 200 กิโลเมตรเท่านั้น
ล่าสุด บรรลุข้อตกลงการเจรจาระหว่างสองฝ่ายแล้ว โดยผลของการเจรจาได้ข้อสรุปเบื้องต้น คือ
- พริโกซิน จะย้ายไปอยู่ในเบลารุส
- กองกำลังวากเนอร์ถอนกำลังกลับที่ตั้ง
- กองกำลังวากเนอร์ที่ไม่ได้เข้าร่วมก่อการ สามารถเซ็นต์สัญญาจ้างตรงกับกองทัพรัสเซีย
- ผู้นำวากเนอร์ และกองกำลังที่ก่อเหตุจะไม่ได้ถูกดำเนินคดี
- ข้อขัดแจ้งระหว่าง พริโกซินกับผู้นำระดับสูงในกองทัพรัสเซีย ทางรัสเซียรับปากจะดูแลต่อให้
ซึ่งภายหลังจากที่บรรลุข้อตกลง พริโกซิน ผู้นำกลุ่มวากเนอร์ และกองกำลังได้ถอนกำลังออกจากสนง.ใหญ่กองบัญชาการทหารในเมืองรอสตอฟแล้ว การเจรจาในครั้งนี้ มีประธานาธิบดีอเล็กซานเดอร์ ลูคาเชนโก ของเบลารุสเป็นตัวกลางระหว่าง พริโกซิน และ ปูติน
…
เกิดอะไรขึ้นใน 200 กม. สุดท้ายก่อนถึงมอสโก
มีรายงานอ้างว่า ในช่วงที่กองกำลังวากเนอร์ มุ่งหน้าสู่มอสโกในช่วงสุดท้าย ก่อนที่จะหยุดรอนั้น มีนาย Alexey Dyumin ผู้ว่าการภูมิภาคทูลา ในฐานะตัวแทนจากเครมลิน เป็นตัวแทนในการเจรจาต่อรอง โดยได้ยื่นคำขาดว่า ขอให้ล้มเลิกความตั้งใจในการคิดจะเข้าสู่มอสโก เช่นเดียวกับ พลเอกเซอร์เก ซูโรวิคิน รองผู้บัญชาการกองทัพรัสเซียที่ออกมาแสดงท่าทีชัดเจนว่า “ขอให้หยุด” และเตือนพริโกซินว่า ศัตรูกำลังรอฉวยโอกาสในเหตุการณ์นี้
ตลอดทั้งวันที่ผ่านมา พริโกซินได้แสดงท่าทีที่ค่อนข้างแข็งกร้าวและชัดเจน ในการเคลื่อนกำลังพลมุ่งสู่มอสโก ก่อนที่จะไปชะงักก่อนถึงมอสโกราว 200 กม. และประกาศพร้อมสู้เต็มที่ร่วมกับกองกำลังวากเนอร์อีกราว 25,000 คน
ในขณะที่แนวหลังของวากเนอร์ มีกองกำลังของกลุ่มเชเชนที่กำลังเคลื่อนขบวนเข้ามา ดังนั้นการเปิดศึกสองด้านของวากเนอร์จึงไม่เป็นผลดีเท่าใดนัก
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์หลายคนยังมองว่า การที่พริโกซินยกกำลังไปถึงมอสโก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องงานที่จะเข้าถึงตัวปูติน เนื่องจากปูตินเอง ได้ขึ้นเครื่องบินของกองทัพไปยังที่มั่นในเซนต์ปีเตอร์เบิร์กแล้ว ดังนั้นการเข้าไปถึงมอสโก จึงไม่ก่อให้เกิดผลใด ๆ นอกจากความสูญเสียหากต้องปะทะกันจริง ๆ
…
รัสเซีย-วากเนอร์ ใครได้-ใครเสียอะไรในสิ่งที่เกิดขึ้น
ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งวัน จนถึงการบรรลุข้อตกลงระหว่างทั้งสองฝ่าย ซึ่งพริโกซิน และกองกำลังของวากเนอร์ ถอนกำลังออกไปนั้น หลายคนมองว่า เป็นนี่เป็นปาหี่ของระดับโลกของทั้งสองฝ่าย
ซึ่งในข้อตกลงที่ พริโกซินและกองกำลังวากเนอร์ “ไม่ได้รับโทษ” , พริโกซินย้ายไปอยู่ในเบลารุส นั่นถือว่า เป็นข้อตกลงที่ดีสำหรับทั้งสองฝ่ายที่ไม่มีการสูญเสียเกิดขึ้นมากไปกว่านี้
สิ่งที่วากเนอร์ได้จากการถอนกำลังไม่ใช่แค่การไม่สูญเสีย แต่หมายถึงการแสดงให้เห็นว่า มีแนวร่วมจำนวนมากที่พร้อมจะร่วมมือหรือเห็นด้วย รวมถึงการได้รับการสนับสนุนจากประชาชนบางส่วน เห็นได้จากสิ่งที่เกิดขึ้นในรอสตอฟ
นอกจากนี้ รัสเซียยังรับปากที่จะจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น ระหว่างผู้บัญชาการกองทัพของรัสเซียและวากเนอร์อีกด้วย ซึ่งพริโกซินได้มุ่งเป้าหลักไปที่ เซียร์เกย์ ชอยกู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรัสเซีย ตั้งแต่เช้าวานนี้ ที่ระบุให้ ชอยกู เดินทางมาพบที่รอสตอฟ
แต่ผลจากสิ่งที่เกิดขึ้น วากเนอร์ก็คงต้องแบกรับปัญหาหลังจากนี้อีกเช่นกัน คือการที่เงินหลายล้านดอลลาร์ ที่ถูกรัสเซียยึดไว้นั้น ยังไม่มีรายงานว่า ทางการรัสเซียจะคืนให้หรือไม่, สำนักงานในเซนต์ปีเตอร์เบิร์กจะสามารถกลับมาเปิดทำการได้อีกหรือไม่
ในขณะที่รัสเซียเอง ก็ถือว่า เสียหน้าจากสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะในช่วงกลางวัน แถลงการณ์ของปูตินยังคงกล่าวถึงการจราจล, ก่อกบฎ และหากมีการปรับเปลี่ยนผู้นำกองทัพรัสเซีย ก็จะสะท้อนถึงการยอมรับข้อตกลงของทางพริโกซินอย่างชัดเจน
แต่รัสเซียก็ไม่มีทางเลือกมากนัก เพราะผลงานของวากเนอร์ในยูเครนถือว่า โดดเด่น โดยเฉพาะในสมรภูมิบัคมุต
…
ปูตินสูญเสียอำนาจหรือไม่?
สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานที่ผ่านมา และถือเป็นสิ่งที่น่าสนใจคือ การที่พริโกซินและกองกำลังวากเนอร์ สามารถเคลื่อนกำลังพลข้ามพรมแดนจากยูเครนไปยังรอสตอฟ และเข้าควบคุมสำนักงานทหารภูมิภาคตอนใต้ ในเมืองรอสตอฟไว้ได้ โดยไม่มีการสูญเสียใด ๆ
มีเพียงเสียงปืนในช่วงกลางคืนกินเวลาไม่นานนัก ก่อนที่ในช่วงสายจะปรากฎคลิปที่พริโกซินและนายทหารระดับสูงอย่าง พลเอก Yunus-Bek รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และ พลโท. ladimir Alekseyev รองหัวหน้าหน่วยข่าวกรองทางทหารของรัสเซีย นั่งพูดคุยกันอยู่
การเคลื่อนกำลังพลจากรอสตอฟ ไปยังโวโรเนซ ก็ทำได้โดยไม่มีการสกัดกั้นใด ๆ ที่ชัดเจน หรือแสดงถึงความต้องการในการหยุดยั้งกองกำลังวากเนอร์อย่างแท้จริง
ความสูญเสียที่เกิดขึ้นวานนี้ของรัสเซีย เท่าที่มีทั้งหมดเป็นเฮลิคอปเตอร์ และเครื่องบิน รวมถึงนักบิน แต่ไม่มีรายงานการสูญเสียของทหาร หรือกองกำลังอื่นแต่อย่างใด นั่นจึงมีข้อสังเกตได้ 2 ทางคือ
ปูตินสั่งไม่ให้เข้าปะทะด้วย หรือ ผู้นำระดับสูงในกองทัพเลือกที่จะยอมให้วากเนอร์
ความสูญเสียของอากาศยานของรัสเซีย รวมถึงการโจมตีต่อวากเนอร์ หลายฝ่ายมองว่า นี่อาจจะเป็นคำสั่ง หรือความพยายามของ ชอยกู รมต.กลาโหมรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกพริโกซินชี้เป้าตั้งแต่แรก ซึ่งทั้งคู่ไม่ลงรอยกันมานาน โดยเฉพาะเมื่อวากเนอร์เข้าร่วมในปฏิบัติการโจมตียูเครน
มีข้อมูลรายงานว่า ปูตินได้ต่อสายถึง ปธน. ลูคาเชนโก ของเบลารุส เพื่อให้เป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยตั้งแต่ต้น เพื่อไม่เกิดการสูญเสีย และมีรายงานว่า ตลอดทั้งวัน ลูคาเชนโก มีการต่อสายถึง พริโกซินโดยตลอด เพื่อหาข้อยุติให้กับทั้งสองฝ่าย
ซึ่งการร้องขอให้จัดการปัญหาข้อขัดแย้งในการปลด เซียร์เกย์ ชอยกู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรัสเซียนั้น ถูกระบุว่า เป็นเรื่องที่ลูคาเชนโกไม่สามารถรับปากได้ เนื่องจากเป็นกิจการภายในของรัสเซีย หรือ พูดง่าย ๆ คือ เป็นอำนาจของปูติน
ส่วนกรณีการยกโทษให้ ไม่เอาความกับพริโกซินนั้น ต้องเข้าใจว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พริโกซิน ผู้นำของวากเนอร์ ถือว่า เป็นหนึ่งในผู้ที่มีความสัมพันธ์กับ ปูติน มาเป็นเวลานาน หลายฝ่ายมองว่า พริโกซิน เป็นผู้ช่วยปูตินที่อยู่ “นอกโครงสร้าง” ของทางการรัสเซียมาโดยตลอด
ดังนั้น การละเว้นโทษให้กับพริโกซิน จึงเป็นสิ่งที่ไม่แปลกใจนัก แต่หลังจากนี้ ปูตินจะจัดการปัญหาความขัดแย้งระหว่าง ชอยกู และ พริโกซินอย่างไร เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ สะท้อนว่า ทั้งสองฝ่าย “ไม่เผาผี” กันแล้ว
ความขัดแย้งระหว่างทั้งคู่ ร้าวหนักมาก พริโกซิน ไม่พอใจแผนการรบของชอยกูตั้งแต่ต้น และในระยะหลังเรียกได้ว่า ถึงขั้น “ชี้หน้าด่า” และเมื่อวานนี้ ก็ไม่ต่างจากการ “ท้าต่อย” แบบไม่ไว้หน้าใคร เพราะที่ผ่านมา พริโกซินมักจะกล่าวว่า ชอยกู รมต.กลาโหมของรัสเซีย มักจะหลบและอาศัยเงาของปูตินเป็นเกราะกำบังมาโดยตลอด
ทางด้านของชอยกูก็เล่นแง่ กับพริโกซินมาโดยตลอด ผ่านการส่งกำลังบำรุง ที่ล่าช้าบ้าง ไม่ครบถ้วนบ้าง ฯลฯ แต่เมื่อพริโกซิน ลุกขึ้นก่อเหตุเมื่อวานนี้ พร้อมชี้เป้าตรง ๆ ไปยังชอยกู แต่ชอยกูกลับเงียบหายไปจากหน้าสื่อฯ มีเพียงอากาศยานส่งออกมาโจมตี และโดนวากเนอร์ยิงตก
ในขณะที่ทางกองกำลังหน่วยอื่น ไม่เคลื่อนไหวต่อต้านวากเนอร์แต่อย่างใด ในจุดนี้จึงอาจจะตีความได้ว่า หากปูตินยังไม่สูญเสียอำนาจสั่งการ ก็คงเป็น ชอยกูที่สูญเสียอำนาจในฐานะ รมต.กลาโหมไปแล้ว
ข้อสังเกตุ
สิ่งที่เกิดขึ้น อาจจะมองว่า นี่เป็นการเจรจาประนีประนอมระยะสั้น และไม่ใช่แก้ปัญหาระยะยาว หากชอยกู รมต.กลาโหม และผู้นำกองทัพคนอื่น ๆ ที่พริโกซินเคยชี้เป้ายังคงอยู่ ปัญหาอาจจะยังเกิดขึ้นได้อีกครั้ง
แต่การมองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการโค่นล้ม หรือจะโค่นปูตินลงจากอำนาจ ถือว่ายังเร็วเกินไป เพราะยังแสดงให้เห็นว่า ปูตินยังคงมีอำนาจตัดสินใจต่าง ๆ อยู่ และปูตินเองก็ได้รับแจ้งข่าวการเคลื่อนไหวของวากเนอร์มาก่อนหน้านี้ เพียงแต่ไม่แน่ใจสถานการณ์หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นเท่านั้น แต่ความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์นี้ ต่ำมากจึงมองว่า นี่ยังคงสะท้อนว่า ปูตินยังคงสามารถควบคุมสถานการณ์บางอย่างได้
แต่ความสัมพันธ์ของวากเนอร์และเครมลินน่าจะสั่นคลอนและอาจจะสิ้นสุดลงในเร็วนี้ โดยวากเนอร์ไม่น่าจะกลับไปอยู่ภายใต้คำสั่งของกระทรวงกลาโหมของรัสเซีย และสะท้อนว่า กองทัพรัสเซียมีปัญหาบางอย่างอยู่ภายในอย่างชัดเจน
แต่ที่เกิดแรงกระเพื่อมมากที่สุด เห็นจะเป็นสิ่งที่ประชาชนออกมาสนับสนุนการเคลื่อนกำลังพลของวากเนอร์ สะท้อนถึงการสนับสนุนปูตินที่ลดลงอย่างชัดเจน
…
ความสูญเสียที่เกิดขึ้น
กองทัพรัสเซียสูญเสียอากาศยานจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือ
- Mi-8MTPR จำนวน 3 ลำ
- Mi-8 จำนวน 1 ลำ
- Ka-52 จำนวน 1 ลำ
- Mi-35 จำนวน 1 ลำ
- Il-18 จำนวน 1 ลำ
ส่วนกองกำลังในหน่วยอื่นของรัสเซีย ไม่มีรายงานความสูญเสียแต่อย่างใด