คัดลอก URL แล้ว
จีนเปิดประเทศ ควรกังวลหรือไม่ และคนไทยควรเตรียมตัวอย่างไร?

จีนเปิดประเทศ ควรกังวลหรือไม่ และคนไทยควรเตรียมตัวอย่างไร?

KEY :

กระแสของการเปิดประเทศของจีนท่ามกลางการระบาดของโควิด-19 ที่กำลังมียอดผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในจีน และเป็นข่าวดังไปทั่วโลกในขณะนี้ สร้างความกังวลใจให้กับหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยและคนไทยจำนวนมาก ต่อการระบาดที่อาจจะเกิดขึ้น และความกังวลดังกล่าว นำมาสู้ประเด็นข้อสงสัย ต่าง ๆ มากมายบนโลกออนไลน์ ตลอดจนถึงการปฏิบัติตัวกับการรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ภายหลังจากการเปิดประเทศ และนักท่องเที่ยวจีนจำนวนมาก มีเป้าหมายที่จะเดินททางมาท่องเที่ยวยังประเทศไทยด้วย

บรรยากาศ ‘ทำงานวันแรก’ ของปี 2023 ในปักกิ่ง
(ภาพ – ซินหัว)

ทำความเข้าใจสถานการณ์ในจีน

สำหรับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศที่จีนที่เกิดขึ้นในขณะนี้ สิ่งแรก ๆ ที่ต้องเข้าใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนคือ ในช่วงที่ผ่านมานั้น จีนใช้มาตรการที่เข้มงวดในการจัดการโควิด-19 อย่าง การล็อกดาวน์ ในการควบคุมการระบาดมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงแรกของการระบาด

มาตรการดังกล่าว ช่วยให้จีนสามารถควบคุมการระบาดของโรคให้อยู่ในวงจำกัดได้ดี ส่งผลให้อัตราการป่วย และเสียชีวิตต่ำกว่าในหลายประเทศทางฝั่งตะวันตก ควบคู่กับการผ่อนคลายในบางมาตรการ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าไปได้

อย่างไรก็ตาม แรงกดดันที่เกิดขึ้น ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา เมื่อมีการระบาดที่เพิ่มมากขึ้น และการล็อกดาวน์กลับมาถูกใช้อย่างเข้มงวดมากขึ้น จึงทำให้เกิดกระแสการประท้วงที่ลุกลามมากขึ้น ในประเทศจีน ซึ่งเป็นผลมาจากการกระทบต่อการใช้ชีวิต และรายได้ของประชาชน

และเมื่อมีการปลดล็อกมาตรการล็อกดาวน์ และผ่อนคลายมาตรการที่เกิดขึ้น ในช่วงเวลาที่มีการระบาดค่อนข้างสูง จึงส่งผลกระทบให้อัตราการแพร่ระบาดเกิดขึ้นในจีนอย่างรวดเร็ว เสมือนกับลูกโป่งที่แตกออกมาจากแรงกดดันภายใน

ภูมิคุ้มกันหมู่แตกต่างกัน

ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา จีนใช้มาตรการที่เข้มงวด ควบคู่กับการฉีดวัคซีนต้องกันโควิด-19 ที่ผลิตขึ้นเองในประเทศ โดยเป็นวัคซีนในกลุ่มเชื้อตาย ซึ่งต้องยอมรับกันว่า ประสิทธิผลของวัคซีนเชื้อตายนั้น เป็นวัคซีนชนิดดั้งเดิมที่ใช้กันมานาน เช่นเดียวกับวัคซีนของโรคอีกหลายชนิดที่มีใช้กันอยู่ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิตได้

แต่เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพของวัคซีนในกลุ่ม mRNA ที่สูงกว่า แม้ว่า ทั้งวัคซีนชนิดเชื้อตาย กับ mRNA จะสามารถลดอัตราการป่วยหนัก และเสียชีวิตได้เช่นเดียวกันก็ตาม แต่จากผลงานวิจัยต่าง ๆ ในช่วงที่ผ่านมา วัคซีนในกลุ่ม mRNA สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้สูงกว่า ส่งผลให้การป้องกันในระยะยาวได้ผลดีกว่า ลดการป่วยหนัก และเสียชีวิตได้มากกว่า

นอกจากนี้ หลายประเทศได้มีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดมาก่อนหน้านี้ ส่งผลให้มีผู้ที่มีภูมิคุ้มกันหมู่เป็นจำนวนมาก ทั้งจากการได้รับวัคซีน และการติดเชื้อโควิด-19 โดยตรง มากกว่า ประเทศจีน ดังนั้นจึงทำให้อัตราการติดเชื้อในจีนเกิดขึ้นได้ในวงกว้างกว่า

อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เราเห็นตัวเลขของการติดเชื้อเป็นจำนวนมากนั้น มาจากจำนวนประชากรของจีนที่มากที่สุดในโลก ดังนั้นในอัตราการติดเชื้อในเปอร์เซนต์ที่เท่ากัน จีนจึงจะมีผู้ติดเชื้อสูงกว่าประเทศอื่น ๆ

ในขณะที่อินเดียที่มีประชากรจำนวนใกล้เคียงกัน ก็เคยมีการระบาดหนักไปแล้วก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ประชาชนมีภูมิคุ้มกันหมู่ที่สูงกว่า จึงทำให้สถานการณ์ในอินเดียไม่ระบาดหนักเหมือนจีน

นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่มีอาการหนักในประเทศจีนในขณะนี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ซึ่งจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19

นักเรียนฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่ศูนย์ฉีดวัคซีนแห่งหนึ่งในอำเภอตันไจ้ มณฑลกุ้ยโจว
(Photo by Yang Wukui/Xinhua)

เชื้อโควิด-19 ในจีน

ท่ามกลางกระแสของการระบาดที่เกิดขึ้น มีรายงานการพบสายพันธุ์ต่าง ๆ มากมาย รวมถึงในจีนที่มีรายงานการพบสายพันธุ์ย่อยต่าง ๆ ออกมา โดยในขณะนี้ในจีนมีการพบการระบาดอยู่ทั้งหมด 13 สายพันธุ์หลัก ๆ

แต่ทั้งหมดนี้ เป็นสายพันธุ์ที่พบการระบาดในประเทศอื่น ๆ มาก่อนแล้ว การพบเชื้อสายพันธุ์ต่าง ๆ ในประเทศจีน จึงเป็นการพบที่ “ตามหลัง” ประเทศอื่น ๆ ที่มีการผ่อนคลายมาตรการไปก่อนหน้านี้

ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้ระดับของภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศอื่น ๆ ที่มีการผ่อนคลายมีลักษณะเป็น “ภูมิคุ้มกันหมู่แบบผสม” ที่อยู่ในระดับที่ “สูงกว่าจีน”

และนอกจากนี้ สายพันธุ์ที่พบมากในจีนในขณะนี้อย่าง สายพันธุ์ BA.5.2 ก็เป็นสายพันธุ์เคยพบในประเทศไทยต้องแต่ช่วงเดือน มิ.ย. 2565 ที่ผ่านมาและขึ้นเป็นสายพันธุ์หลักที่พบในประเทศตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565

ส่วนสายพันธุ์ BF.7 ที่พบการระบาดสูงเป็นอันดับ 2 ในประเทศจีนนั้นก็มีรายงานการพบในประเทศไทยมาก่อนแล้วเช่นกัน ซึ่งในประเทศไทยในขณะนี้ พบว่า สายพันธุ์หลักของการระบาดคือ BA.2.75

ดังนั้น การที่เชื้อโควิด-19 ในสายพันธุ์ BA.5.2 และ BF.7 จากจีนจะส่งผลให้เข้ามาระบาดเพิ่มมากขึ้น จนแทนที่สายพันธุ์ BA.2.75 ที่ระบาดในไทยขณะนี้ จึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะหากพูดง่าย ๆ คือ “ไทยเคยเจอมาก่อนแล้ว”

เจ้าหน้าที่เก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งจากประชาชนที่จุดตรวจตรวจโรคโควิด-19
ในเทศบาลนครเทียนจินของจีน เมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2022
(Xinhua/Zhao Zishuo)

แล้วต้องเตรียมตัวอย่างไร

จากสถานการณ์ในจีนที่เกิดขึ้น จะเห็นว่า ที่ผ่านมามาตรการการป้องกันโควิด-19 ที่เข้มงวดในจีนนั้น ส่งผลให้สถานการณ์ในประเทศจีน เสมือนจะเกิดขึ้นตามหลังประเทศอื่น ๆ ที่มีการผ่อนคลายมาตรการมาก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งในแง่ของระดับภูมิคุ้มกันหมู่แบบผสม และสายพันธุ์ของโควิด-19

หรือพูดง่าย ๆ คือ “ประเทศอื่นรวมถึงไทย ผ่านมาก่อนแล้ว” นั่นเอง

ดังนั้น สิ่งที่คนไทยควรเตรียมพร้อมในการรับมือ จึงไม่ต่างจากสิ่งที่เราเคยทำกันมาในช่วงก่อนหน้านี้ เช่น

และมาตรการอื่น ๆ ที่เคยทำมา เพียงแต่ยกระดับการป้องกันให้เข้มงวดขึ้นกว่าเดิมอีกสักหน่อย เมื่อเทียบกับสถานการณ์ในช่วงเดือน ธ.ค. 65 ที่ผ่านมา

แฟ้มภาพ

ประเทศที่มีการยกระดับผู้เดินทางจากจีน

จากการระบาดที่เกิดขึ้น หลายประเทศได้มีการยกระดับมาตรการป้องกันโควิด-19 เพิ่มขึ้น โดยระบุว่า เป็นการป้องกันการระบาดของโควิด-19 ไม่ให้เกิดขึ้นในประเทศ ซึ่งในขณะนี้มีด้วยกันหลายประเทศ คือ

สหรัฐฯ – กำหนดให้ผู้ที่เดินทางจากจีน, มาเก๊า และฮ่องกง จะต้องแสดงผลการตรวจหาเชื้อเป็นลบ ในช่วง 48 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง โดยจะต้องเป็นผลการตรวจ PCR หรือชุดตรวจ ATK ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานควบคุมโรคของสหรัฐฯ หรือเอกสารยืนยันว่า เป็นผู้ที่หายป่วยจากโควิด-19 ไม่เกิน 90 วัน ซึ่งมาตรการนี้ จะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค. เป็นต้นไป

ฝรั่งเศส – กำหนดให้แสดงผลการตรวจหาเชื้อด้วย PCR เป็นลบไม่เกิน 48 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค.

อิตาลี – ให้ผู้ที่เดินทางจากจีนต้องแสดงผลตรวจหาเชื้อโควิด-19 เป็นลบก่อนการเดินทาง

สเปน – ผู้ที่เดินทางจากจีนจะต้องแสดงผลการตรวจหาเชื้อเป็นลบ หรือ หลักฐานการฉีดวัคซีนที่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (รวมถึงวัคซีนของ Sinovac และ Sinopharm ด้วย)

ออสเตรเลีย – ผู้ที่เดินทางจากจีน ฮ่องกง และมาเก๊า ต้องแสดงผลตรวจหาเชื้อโควิด-19 เป็นลบก่อนการเดินทาง

แคนาดา – แสดงผลตรวจหาเชื้อโควิด-19 เป็นลบ ก่อนการเดินทาง 48 ชั่วโมง

สหราชอาณาจักร – แสดงผลตรวจหาเชื้อโควิด-19 เป็นลง ก่อนขึ้นเครื่อง เริ่มตั้งแต่ 5 ม.ค. เป็นต้นไป

อิสราเอล – กำหนดให้มีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 สำหรับผู้เดินทางเข้าประเทศที่มาจากประเทศจีน โดยมีการจัดตั้งศูนย์ตรวจผู้โดยสารขาเข้า

ญี่ปุ่น – ตรวจผู้ที่เดินทางมาจากจีน จะมีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 หากผลเป็นบวกจะมีการกักตัวเป็นเวลา 7 วัน รวมถึงมีแนวทางในการจำกัดจำนวนเที่ยวบินจากจีนมายังโตเกียวด้วย

เกาหลีใต้ – ผู้ที่เดินทางมาจากจีน จะต้องแสดงผลตรวจหาเชื้อทั้งก่อนการเดินทาง และหลังเดินทางมาถึง โดยยกเว้นกรณีผู้ที่เดินทางมาจากฮ่องกง และมาเก๊า

อินเดีย – ให้ผู้ที่เดินทางจากจีน สิงคโปร์ ฮ่องกง เกาหลีใต้ ไทย และญี่ปุ่น จะต้องแสดงผลตรวจหาเชื้อเป็นลบ ไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง

โมร็อกโก – ห้ามผู้ที่เดินทางจากประเทศจีน (ทุกสัญชาติ) เดินทางเข้าประเทศตั้งแต่ 3 ม.ค. เป็นต้นไป

มาเลเซีย – จะมีการตรวจคัดกรอง (วัดไข้) ผู้ที่เดินทางเข้าประเทศทั้งหมดจากทุกประเทศรวมถึงจีนด้วย

แม้ว่า หลายประเทศจะมีการยกระดับมาตรการเพิ่มขึ้น แต่ก็มีอีกหลายประเทศที่ยังคงไม่เปลี่ยนนโยบายหรือมาตรการในการเดินทางจากจีน เช่น นิวซีแลนด์ ประกาศว่า จะไม่ยกระดับมาตรการการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในผู้ที่เดินทางจากจีน โดยระบุว่า ภายหลังจากการประเมินสถานการณ์แล้ว ผู้ที่เดินทางมาจากจีน “ไม่มีนัยยะสำคัญต่อจำนวนผู้ป่วยในประเทศ”

แฟ้มภาพ

FAQ. – จีนเปิดประเทศ

Q : ทำไมในจีนถึงระบาดเยอะ
A :
เนื่องจากที่ผ่านมาทางการจีนเน้นการควบคุมโดยการล็อกดาวน์ ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันหมู่ของชาวจีนมีน้อยกว่า เมื่อมีการระบาดของเชื้อสายพันธุ์กลายพันธุ์ใหม่ ๆ เกิดการระบาดได้มากขึ้น และการยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ท่ามกลางการระบาดสูง จึงทำให้มีการแพร่กระจายเชื้อในวงกว้าง

Q : วัคซีนชนิดเชื้อตายสู้วัคซีน mRNA ไม่ได้ใช่ไหม?
A :
วัคซีนทุกชนิดในขณะนี้ ยังคงมีประสิทธิภาพการลดโอกาสของการป่วยหนักและเสียชีวิตได้เช่นเดียวกัน และผู้ได้รับวัคซีนแล้ว ยังคงมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้เช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาผลการทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนในกลุ่ม mRNA นั้นมีประสิทธิภาพสูงกว่า วัคซีนเชื้อตาย สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้สูงกว่า และนานกว่า

Q : เชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ต่าง ๆ ในจีนจะระบาดหนักในไทยหรือไม่
A :
เป็นไปได้ยาก เพราะเชื้อสายพันธุ์หลักที่ระบาดในจีนนั้น “เคยพบในประเทศไทยมาก่อน” ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 ที่ผ่านมา และสายพันธุ์ที่ระบาดอยู่ในประเทศไทยในขณะนี้ มีความสามารถในการแพร่กระจายได้ดีกว่า จึงยากที่กลับมากลายเป็นสายพันธุ์หลักอีกครั้ง

Q : ภูมิคุ้มกันหมู่แบบผสมคืออะไร
A :
การเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ คือการที่ประชากรในประเทศนั้น มีภูมิคุ้มกันจากโรค ซึ่งได้รับจากการฉีดวัคซีน รวมถึงการติดเชื้อโดยตรง และมีจำนวนมากพอที่จะสร้างป้องกันโรคระบาดได้

ภูมิคุ้มกันหมู่แบบผสมคือ การที่ประชากรมีภูมิคุ้มกันหมู่จากเชื้อโรคในหลาย ๆ สายพันธุ์ร่วมกัน ซึ่งจะทำให้สามารถรับมือกับการระบาดในสายพันธุ์ย่อยต่าง ๆ ได้ดีกว่า

Q : ทำไมจีนมีภูมิคุ้มกันหมู่แบบผสมต่ำกว่า?
A :
สาเหตุมาจากมาตรการในการปิดประเทศ การล็อกดาวน์ ส่งผลให้เชื้อสายพันธุ์ต่าง ๆ ถูกจำกัดวงการแพร่ระบาด ซึ่งแม้ว่า จะสามารถควบคุมการระบาดได้ดี แต่ส่งผลให้ ประชาชนมีภูมิคุ้มกัน ในจำนวนสายพันธุ์ที่หลากหลายน้อยกว่า ประเทศที่ผ่อนคลาย

นอกจากนี้ เชื้อโควิด-19 ในสายพันธุ์ย่อยต่าง ๆ ที่พบในจีนในขณะนี้ ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่พบในประเทศอื่น ๆ มาก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นในสหรัฐฯ ยุโรป อินเดีย หรือแม้แต่ไทย

ดังนั้นหากจะพูดสรุปง่าย ๆ คือ ประเทศอื่นพบเชื้อไปแล้ว ระบาดไปแล้ว มีภูมิคุ้มกันไปแล้วนั่นเอง

Q : การมีภูมิคุ้มกันหมู่แบบผสม ดีกว่ายังไง?
A :
หากพื้นที่หนึ่งมีภูมิคุ้มกันหมู่จากเชื้อสายพันธุ์หนึ่ง ประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่มีระดับภูมิคุ้มกันที่รู้จักเชื้อในสายพันธุ์เดียวกันเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเผชิญกับเชื้อสายพันธุ์ย่อยที่แตกต่างไป ทำให้มีโอกาสในการติดเชื้อและกระจายต่อเนื่องได้มากกว่า เช่นเดียวกันสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังการยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้เชื้อกระจายได้เร็ว

ในขณะที่การที่ประชาชนในพื้นที่มีภูมิคุ้มกันหมู่แบบผสม ที่เกิดจากเชื้อหลายสายพันธุ์ จะส่งผลให้แม้มีการระบาดเกิดขึ้น แต่จะไม่แพร่กระจายในวงกว้าง เนื่องจากประชาชนบางส่วนมีภูมิคุ้มกันสายพันธุ์นั้นอยู่ก่อนแล้ว

Q : ทำไมหลายประเทศเลือกยกระดับตรวจผู้เดินทางจากจีน
A :
ผู้เชี่ยวชาญหลายคน รวมถึง ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งยุโรป หรือ ECDC ระบุว่า มาตรการเข้มงวดผู้ที่เดินทางมาจากประเทศจีนนั้นไม่ยุติธรรม เพราะเชื้อที่พบในจีน มีการระบาดในประเทศอื่นมาก่อน, จำนวนผู้ป่วยรายใหม่ในหลายประเทศก็ยังคงสูงอยู่ ดังนั้นมาตรการที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้มีนัยยะสำคัญในการป้องการการระบาดมากนัก บางรายตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ถือเป็นเรื่องของการเมืองระหว่างประเทศ

เพิ่มเติม – ECDC ระบุ คัดกรองผู้เดินทางจากจีนไม่ยุติธรรม

Q : คนไทยควรเตรียมพร้อมอย่างไร
A :
มาตรการต่าง ๆ ที่ใช้กันในช่วงที่ผ่านมายังคงใช้ป้องกันได้เช่นเดิม ดังนั้นสำหรับผู้ที่สวมหน้ากากอนามัย เลี่ยงพื้นที่เสี่ยง รักษาระยะห่าง สิ่งเหล่านี้เพียงพอต่อการป้องกันตัว

สำหรับในผู้ที่ไปในสถานที่เสี่ยง พื้นที่ปิดทึบ เช่น ผับ บาร์ คาราโอเกะ แนะนำให้ลด เลี่ยง


ข่าวที่เกี่ยวข้อง