“อย่าหลงเชื่อโฆษณาเกินจริง!” แพทย์ มช. เตือนชัด “ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่ใช่ยา” ใช้เพื่อส่งเสริมสุขภาพเท่านั้น
รศ.ดร.นพ.ศุภนิมิต ทีฆชุณหเถียร หัวหน้าศูนย์วิจัยทางคลินิกเพื่อทดสอบและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารและสมุนไพร (CR-FAH) คณะแพทยศาสตร์ มช. ระบุว่า ผู้บริโภคจำนวนมากเข้าใจผิด คิดว่าอาหารเสริมรักษาโรคได้ ทั้งที่ตามกฎหมายไทย อาหารเสริมไม่ใช่ยา และ ไม่มีผลในการป้องกันหรือรักษาโรค
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคือ “อาหารชนิดพิเศษ” เช่น เม็ด แคปซูล ผง หรือของเหลว ที่เน้นส่งเสริมสุขภาพ เช่น เสริมวิตามินหรือสารอาหารที่ขาดจากการบริโภคปกติ

เพื่อให้เข้าใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น รศ.ดร.นพ.ศุภนิมิต ได้ยกตัวอย่างผลิตภัณฑ์สมมุติ
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์สมมุติ: “เนื้อผลมะม่วงผงบดที่มีวิตามินซี”
จัดเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพราะไม่ได้อยู่ในรูปแบบอาหารทั่วไป และมีเจตนาใช้เสริมสุขภาพ ผู้ผลิตสามารถกล่าวอ้างสุขภาพได้ แต่ต้องขออนุญาตจาก อย. เช่น
“วิตามินซีมีส่วนช่วยในการทำหน้าที่ของระบบภูมิคุ้มกัน”
ห้ามกล่าวอ้างเกินจริง เช่น “รักษาโรคมะเร็ง” “ล้างพิษตับ” “ลดไขมันในตับ”
ผู้บริโภคควรอ้างอิงงานวิจัยเชิงมนุษย์ ไม่ใช่เฉพาะในหลอดทดลองหรือสัตว์ทดลอง โดยเฉพาะต้องดูว่ากลุ่มวิจัยตรงกับตัวเองหรือไม่ เช่น ผู้สูงอายุควรดูผลวิจัยในผู้สูงอายุ ไม่ใช่ผลวิจัยในเด็กหรือหนูทดลอง
ผลิตภัณฑ์ต้องมีเครื่องหมายและเลขสารบบอาหาร (เลข อย.)
แสดงว่าได้ขึ้นทะเบียนตามกฎหมาย แต่ ไม่ได้หมายความว่ารับรองผลการรักษาโรค และควรอ่านฉลากอย่างละเอียด ตรวจสอบข้อห้าม โดยเฉพาะถ้ามีโรคประจำตัว
หากมีผลข้างเคียง อย. จะกำหนดให้มีคำเตือนบนฉลาก และแนะนำให้ใช้ในปริมาณ-ระยะเวลาที่เหมาะสม
รศ.ดร.นพ.ศุภนิมิต ย้ำว่า
“หากมีโรคประจำตัว ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้อาหารเสริม เพื่อป้องกันอันตรายจากการใช้ร่วมกับยา”
สรุปคำแนะนำจากแพทย์:
- ตรวจสอบว่ามีเลข อย. อย่างถูกต้อง
- อย่าหลงเชื่อคำโฆษณาเกินจริง
- อ่านฉลาก-คำเตือนให้ละเอียดก่อนใช้
- ศึกษางานวิจัยที่เชื่อถือได้ โดยเฉพาะในคน
- บริโภคในปริมาณและช่วงเวลาที่เหมาะสม
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารร่วมกับยาชนิดอื่น หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหลายชนิดที่มีส่วนผสมซ้ำกัน
- หากมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง
“อาหารธรรมชาติให้คุณค่าทางโภชนาการสูง ปลอดภัย และคุ้มค่ากว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร” รับประทานอาหารครบ 5 หมู่อย่างเพียงพอ ดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ก็อาจไม่จำเป็นต้องพึ่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ขอบคุณที่มาข้อมูลจาก: นางสาวนันทพร ระบิน , งานประชาสัมพันธ์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่