“หมอกฤตไท” เคยเล่าเรื่องราวอาการป่วยมะเร็งปอดของตัวเอง ผ่านเพจเฟซบุ๊ก Krittai Tanasombatkul และ สู้ดิวะ เมื่อ 10 พ.ย.2565 ทั้งนี้เค้าเผยว่าเป็นคนที่ชอบออกกำลังกาย ไม่สูบบุหรี่ ดูแลสุขภาพตัวเองดี แต่มาป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 4 และได้อัปเดตว่าเมื่อวันที่ 2 พ.ย. ว่าอาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ล่าสุด! เช้าวันที่ 5 ธ.ค. คุณพ่อหมอกฤตไทได้อัปเดตว่าลูกชายจากไปแล้ว
นพ. กฤตไท ธนสมบัติกุล อาจารย์ประจำศูนย์ระบาดวิทยาคลินิกและสถิติศาสตร์คลินิก ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เจ้าของเพจเฟซบุ๊กเพจ “สู้ดิวะ” เกิดในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน
ประวัติด้านการศึกษา
- ประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษา โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ผม OSK 131
- สอบติด คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รุ่น 56 และจบใน 6 ปีตามกำหนด
- เรียนต่อเฉพาะทางเวชศาสตร์ครอบครัว (Family Medicine) ต่อ 3 ปี ใช้ทุนร่วมกับเรียนต่อเฉพาะทางที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่
- ระหว่างที่เรียนเฉพาะทางได้ศึกษา สาขาเฉพาะทาง ระบาดวิทยาคลินิก (Clinical Epidemiology and Clinical Statistic) และศึกษาปริญญาโท วิทยาการข้อมูล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (Data Science) อีกใบพร้อมกัน
- หลังจากเรียนจบได้บรรจุเป็นอาจารย์ประจำศูนย์ระบาดวิทยาคลินิกและสถิติศาสตร์คลินิก ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ชีวิตกำลังรุ่งโรจน์แต่มาตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง
หมอกฤตไท เป็นคนที่ดูแลสุขภาพดีมาตลอด เข้ายิมออกกำลังกาย ไม่สูบบุหรี่ ดูแลเรื่องอาหารการกิน นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ หลังจากเรียนจบ ทำงาน ก็มีการวางแผนว่าจะซื้อบ้านและก็แต่งงาน
จนเริ่มสังเกตมีอาการไอผิดปกติ จึงได้เข้าตรวจกับผู้เชี่ยวชาญและพบว่าตนเอง เป็นมะเร็งปอดระยะที่ 4 ไม่สามารถรักษาให้หายได้ เหลือปอดขวาที่แข็งแรงเพียงแค่ครึ่งเดียว แต่คุณหมอก็ได้เข้ารับการรักษาเป็นระยะเวลา 1 ปี และมีอาการดีขึ้นตามลำดับ โดยในช่วงนี้คุณหมอก็ได้ทำตามแพลนที่ตั้งใจไว้ด้วยคือแต่งงานกับแฟนสาวและได้เปิดเพจและเขียนหนังสือ “สู้ดิวะ” เพื่อตั้งใจส่งต่อสิ่งเล็กๆ แรงบันดาลใจให้กับสังคม และยังได้ไปเป็นวิทยากรให้กับหลายมหาวิทยาลัยด้วย
อาการคุณหมอดีขึ้นเรื่อๆ จนแทบกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ ไปออกกำลังกายเข้ายิมได้ จนในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ก้อนที่ฉายแสงไปยุบลง แต่มีก้อนใหม่เพิ่มขึ้นมา 3 ก้อน จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการฉายแสงทั้งศีรษะ เพื่อกำจัดเชื้อมะเร็งที่น่าจะกระจายไปทั่วสมอง ทั้งนี้มีผลข้างเคียงคือเนื้อสมองส่วนปกติจะโดนรังสีไปด้วย ทำให้สมองเสื่อมไปด้วย
ล่าสุด วันที่ 5 ธันวาคม 2566 เวลา 10.59 คุณพ่อได้โพสต์แจ้งข่าวเศร้าถึงการจากไปของหมอกฤตไทลูกชาย โดยระบุข้อความว่า “เดินทางปลอดภัยครับ ลูกชาย #สู้ดิวะ”
มุมมองหมอกฤตเรื่อง ฝุ่น PM2.5
“เช้านี้ผมขึ้นตื่นมาพร้อมกับค่าฝุ่น 186 ในห้องที่กำลังรอรับการฉายแสงครับ
ผมก็ไม่ได้บอกว่า ฝุ่นควันในเชียงใหม่เป็นปัจจัยเดียวที่ทำให้ผมเป็นมะเร็งหรอกครับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีผล”
นอกจากนี้ ยังระบุว่า ตอนนี้ผมอาการไม่สู้ดีนัก กำลังเข้ารับการรักษาด้วยการฉายแสงให้กับมะเร็งในสมองก้อนใหม่
เวลาของผมเหลือน้อยลงทุกที ระหว่างที่ผมนั่งอยู่ในห้องพักโรงพยาบาล ผมก็คิดว่า ยังมีเรื่องไหนที่ผมอยากพูด แต่ยังไม่ได้พูดหนึ่งในนั้นก็คือ เรื่อง ฝุ่น PM 2.5
คือมันเป็นความรับผิดชอบของประชาชนจริงหรือไม่ ที่ต้องแบกรับค่าหน้ากาก ค่าเครื่องฟอก ประชาชนหลายอาชีพเองก็ไม่ได้สะดวกพอที่จะหลีกเลี่ยงฝุ่นอันตรายนี้ ไม่ได้มีเงินมากพอที่จะติดตั้งเครื่องมือที่จะเพิ่มคุณภาพอากาศที่พวกเขาต้องหายใจเข้าไปทุกวันนี้
มันน่าเศร้ามากเมื่อมองว่าความเหลื่อมล้ำของประเทศเรามันไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจแต่เป็นตั้งแต่พื้นฐานเรื่องของอากาศหายใจที่แสนจะสำคัญต่อชีวิตคน
เราต้องเป็นประชาชนที่อยู่ในประเทศที่ต้องซื้ออากาศหายใจจริงๆ เหรอ?
ผมไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการ ผมเป็นเพียงประชาชนที่เกิดคำถามเชิงโครงสร้างต่อ “การจัดลำดับและให้ความสำคัญกับคุณภาพอากาศที่ประชาชนอย่างเราหายใจกันอยู่ทุกวันนี้”
หากคิดแบบตรรกะของคนทั่วไปเลยคือเราต้องเริ่มแก้ปัญหา PM2.5 ให้ตรงจุดก่อน และจัดลำดับความสำคัญหรือให้น้ำหนักกับการแก้ไขปัญหาที่แหล่งกำเนิดของ PM2.5 อย่างจริงจัง มันจะต้องมีหน่วยงานจริงจังขึ้นมาแล้ว เพื่อร่วมมือกันแก้ปัญหานี้ คนเก่งๆ ในประเทศเรามีเยอะแยะ งบประมาณเราก็มี นักการเมืองก็มี นักวิชาการก็มี
ไทยติดอันดับปัญหาฝุ่นในระดับโลกกันมาติดต่อกันหลายปี แต่ทำไมถึงยังไม่เห็นความชัดเจนในการให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพอากาศ หรือความชัดเจนในการพยายามหาต้นตอของปัญหาเฉพาะแต่ละพื้นที่ มันไม่ใช่แค่การเผาป่า หรือปัญหารถติด
แต่ประเทศไทยกลับยังไม่มีงานศึกษาที่ชัดเจนและลงลึกถึงสาเหตุ PM 2.5 หลัก ๆ ในประเทศไทยว่าตกลงอะไรคือสาเหตุหรือแหล่งกำเนิดหลักของ PM2.5 ในประเทศไทยแต่ละภาคส่วนกันแน่ มันต้องมีการวิเคราะห์และไปแตะสิ่งที่เป็นรากฐานของปัญหาของฝุ่น PM2.5 อย่างแท้จริง จึงจะสามารถแก้ไขปัญหาฝุ่นได้อย่างยั่งยืนสักที จริงไหม?
เราจะแก้ปัญหาฝุ่นควันแบบเป็นปัญหา “เร่งด่วน” ไปทุกปีแบบนี้ไม่ได้นะครับ
ผมน่ะ คงอยู่ได้ไม่นานหรอกครับ แต่เด็กน้อยแสนน่ารักที่ทักทายผมในลิฟท์หลังจากที่ผมไปฉายแสงมาเมื่อวาน แค่คิดว่าเด็กเหล่านั้นไม่ควรต้องมารับความเสี่ยงกับโรคร้ายหรือภาวะเจ็บป่วยเหมือนกับผม เขาควรจะได้มีสิทธิพื้นฐานของมนุษยชาติ คือการได้มีอากาศสะอาดหายใจ ได้เล่นบาสกับเพื่อนกลางแจ้ง โดยที่ไม่ต้องใส่หน้ากาก เขาไม่ควรต้องมาซื้ออากาศหายใจครับ
ผมเพียงหวังให้เขาจะได้อยู่ในประเทศที่อากาศที่สะอาด และมีชีวิตที่สดใสร่าเริงไปได้นานที่สุดครับ
“บทส่งท้าย จากคุณหมอกฤตไท”
ทั้งนี้หนึ่งในข้อความที่เป็นบทสรุปถึงแง่คิดของชีวิตได้ระบุไว้ว่า
ถ้าจะให้สรุปบทเรียนจากน้องมะเร็งในช่วงที่อยู่ด้วยกันมาคงสรุปได้ว่า “ชีวิตไม่แน่นอน สุดท้ายเราทุกคนจะต้องตาย จงอยู่กับปัจจุบัน ใช้แต่ละวันให้เหมือนวันสุดท้าย ถ้ามีอะไรที่ทำเพื่อคนอื่นได้ ก็แบ่งปันความโชคดีให้เขาบ้าง และไม่ว่าชีวิตจะเลวร้ายแค่ไหน อย่าหมดหวังกับชีวิตเด็ดขาด”