ในช่วงการแพร่ระบาดของ RSV ไวรัสวายร้าย โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนสภาพอากาศมีการเปลี่ยนแปลงจนร่างกายของลูกน้อยมิอาจรับมือได้ ประกอบกับสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงมีอยู่ ฉะนั้นคุณแม่และคุณพ่อจึงต้องใส่ใจดูแลลูกน้อยให้มากเป็นพิเศษ ข้อมูลจาก พญ.สิริรักษ์ กาญจนธีระพงค์ กุมารแพทย์เฉพาะทางโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันวิทยา ศูนย์สุขภาพเด็ก (Children’s Health Center) โรงพยาบาลนวเวช ได้อธิบายเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสระบบทางเดินหายใจในเด็ก (RSV) พร้อมรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นให้ทุกท่านได้ทำความรู้จักและเข้าใจเชื้อไวรัส RSV เพื่อจะได้นำไปสังเกตอาการและแนวทางป้องกันรักษาได้อย่างทันท่วงที
RSV (Respiratory Syncytial Virus) เชื้อไวรัสระบบทางเดินหายใจในเด็ก
เชื้อไวรัส RSV เป็นเชื้อที่ติดต่อสู่กันได้ง่ายมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กสู่เด็กด้วยกัน สามารถติดต่อกันผ่านสารคัดหลั่ง น้ำมูก น้ำลาย ผ่านการไอ จาม และสัมผัสกันโดยตรง
อาการ
- อาการเริ่มแรกเหมือนไข้หวัดทั่วไป คือ มีไข้ ไอ จาม น้ำมูกไหล และจะหายได้ภายใน 5-7 วัน
- แต่อาการมีได้หลากหลายและมีความรุนแรงที่ต่างกัน เด็กบางคนมีอาการมากกว่าไข้หวัด คือ
– คออักเสบ จะมีอาการเจ็บคอ ไอมีเสมหะ
– กล่องเสียงอักเสบ จะมีอาการเสียงแหบ ไอเสียงก้อง
– หลอดลม/หลอดลมฝอยอักเสบ/ปอดบวม ไอแบบมีเสมหะร่วมด้วย ไอมากจนอาเจียน อาจมีหายใจเร็ว แรง – หายใจลำบาก หรือหายใจแบบมีเสียงวี๊ด (wheezing) ได้ในรายที่มีอาการหนัก
การรักษา
- การรักษาอาการทั่วไป ให้สารน้ำทางเส้นเลือดดำ ให้ออกซิเจน ช่วยดูดระบายเสมหะ
- การรักษาแบบเฉพาะที่ พ่นยาขยายหลอดลม พ่นน้ำเกลือเข้มข้นชนิดพิเศษ เพื่อลดภาวะหลอดลมเกร็ง หายใจมีเสียงวี๊ด
- การใช้ยา Montelukast มีส่วนช่วยในการลดความรุนแรงในช่วงแรกของการหายใจหอบเหนื่อยแบบมีเสียงวี๊ด และให้ใช้ยาต่อเนื่องเพื่อลดการกลับเป็นซ้ำ
การป้องกัน
- ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรค ดังนั้นจึงเน้นการป้องกันโดยการเพิ่มภูมิต้านทานธรรมชาติ โดยเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
- หลีกเลี่ยงการพาเด็กไปในสถานที่แออัด
- ใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้ง และล้างมือบ่อย ๆ
สรุป
อาการ โรคระบบทางเดินหายใจ(RSV)
- มีไข้ ไอ จาม น้ำมูกไหล
- ไอแบบมีเสมหะร่วมด้วย
- ไอมากจนอาเจียน
- อาจมีหายใจเร็ว แรง หายใจลำบาก
- หายใจแบบมีเสียงวี๊ด (wheezing) ในรายที่มีอาการหนัก
ระยะเวลาหาย
- มักหายได้เองภายใน 7 วัน
- ในเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่า 3 ปีที่มีการติดเชื้อเข้าสู่ทางเดินหายใจส่วนล่างอาจมีเสมหะได้ถึง 2 สัปดาห์
เนื่องจากเชื้อไวรัส RSV เป็นโรคติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจในเด็ก ซึ่งสามารถติดเชื้อไวรัสซ้ำได้อีกแม้จะเคยติดเชื้อไวรัสดังกล่าวมาก่อนแล้ว สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับเป็นแนวทางให้กับผู้ปกครองทุกท่านได้นำไปปฎิบัติต่อเด็ก ๆ ได้แก่
- การใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้ง และล้างมือบ่อย ๆ อยู่เสมอทั้งผู้ปกครองและเด็ก
- รวมทั้งการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อเป็นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็ก ๆ ทำให้ร่างกายแข็งแรง
และในปัจจุบัน พบว่า มีอาการแทรกซ้อนของการติดเชื้อในโพรงจมูกเรื้อรัง รวมถึง ภาวะการนอนกรนจากการโตของต่อมอะดรีนอยด์อักเสบเพิ่มมากขึ้น ตามหลังการติดเชื้อ RSV นี้ด้วย ผู้ปกครองควรสังเกตอาการต่อเนื่อง และพาบุตรหลาน ติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน