คัดลอก URL แล้ว

BMW XM ซูเปอร์เอสยูวี V8 PHEV 644 แรงม้ารุ่นแรกที่ทรงพลังที่สุดจาก M

BMW ได้เปิดตัวเอสยูวีเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุด All-New BMW XM โดยความพิเศษของรุ่นนี้คือเป็นรถสมรรถนะสูงรุ่นแรกจาก M ที่มีระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า พร้อมพัฒนาร่วมกับทาง BMW Motorsport ทรงพลังที่สุด น้ำหนักมากที่สุด และหรูล้ำมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา อันเป็นการ และมีให้เลือก ได้แก่ BMW XM และ XM Label Red

ถ่ายทอดบุคลิก XM Concept สู่เอสยูวีที่หรูล้ำที่สุด

BMW XM มาพร้อมกับการดีไซน์ตัวรถที่แข็งแกร่ง ทรงพลัง และสุขุม ซึ่งได้นำพื้นฐานจาก X7 มาเพิ่มบุคลิกให้สปอร์ตโดดเด่นยิ่งขึ้น และให้กลิ่นอายของ XM Concept ที่แฟน ๆ สามารถสัมผัสได้อย่างใกล้ชิด ด้วยกระจังหน้าไตคู่ที่เรืองแสงได้ พร้อมไฟหน้าทรงเรียวเล็ก ไฟท้ายทรง L Shape ดีไซน์ล้ำ พร้อมท่อไอเสียคู่ที่วางซ้อนแนวตั้ง ให้ความรู้สึกที่ดุดัน และล้ำสมัย

ด้านล้ออัลลอยก็น่าสนใจไม่แพ้กัน โดยในสเปคสหรัฐ จะมีขนาดใหญ่สุดถึง 23 นิ้ว พร้อมยางหน้าขนาด 275 มม. และยางหลัง 315 มม. แต่สามารถเลือกลดไซส์ลง ตั้งแต่ 22 ถึง 21 นิ้วได้

BMW XM มีสีตัวถังให้เลือกทั้งหมด 7 สี รวมถึงสามสีเฉพาะในรุ่น M และสีแบบ BMW Individual หนึ่งสี แต่ในอนาคตอาจจะสามารถเลือกได้สูงสุดถึง 50 เฉดสี และลูกค้าสามารถเลือกชุดแต่ง NightGold Metallic ที่จะมาพร้อมชิ้นส่วนตกแต่งสีบรอนซ์ทั้งขอบกระจังหน้า ขอบหน้าต่าง และดิฟฟิวเซอร์ท้าย

สำหรับภายในนั้นจะมีรายละเอียดที่ไม่ต่างจาก X7 โฉมใหม่มากนัก แต่จะแตกต่างกันก็ตรงที่วัสดุตกแต่งภายในที่สมบูรณ์แบบทั้งความสปอร์ต หรูหรา และมีชีวิตชีวา อาทิ วัสดุหนัง Napa สี Vintage Coffee Merino สำหรับตกแต่งแผงคอนโซลหน้า แผงประตู รวมถึงโทนสีที่สองสำหรับเบาะนั่งหุ้มหนัง Merino กับเพดาน Alcantara สีฟ้า Deep Lagoon และยังให้ความสำคัญของการออกแบบพื้นที่โดยสารด้านหลังที่สะดวกสบายเหมือนได้สัมผัสบรรยากาศในเลาจน์

ด้านออพชั่นเด่น ๆ อาทิ เรือนไมล์จอดิจิทัล – จออินโฟเทนเมนต์แบบจอโค้ง พร้อมระบบปฏิบัติการ iDrive 8, พวงมาลัยแบบใหม่ และเบาะนั่งแบบมัลติฟังก์ชั่นแบบใหม่, แผงบังแดดหลังคาพาโนรามิกรูฟสีฟ้าพร้อมการตกแต่งด้วยลาย 3D prism-sculpted และแทรกไฟ Ambient Light LED ไฟเหล่านี้ยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามโหมดการขับขี่ โหมดต้อนรับ และโหมดบอกลา

สำหรับพื้นที่ท้ายรถมีพื้นที่เก็บสัมภาระแบบมาตรฐานสูงถึง 527 ลิตร แต่สามารถเพิ่มขึ้นเป็น 1,820 เมื่อพับเบาะหลังลง และให้ปนะสิทธิภาพในการลากจูงรถพ่วงได้ 2,700 กก.

ขุมพลัง V8 PHEV อันทรงพลังน่าเกรงขาม

BMW XM ทุกรุ่น ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดรุ่นใหม่ล่าสุด ที่ขึ้นชื่อว่าทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่ตัวเลขสมรรถนะจะขึ้นกับรุ่นย่อย เริ่มจากรุ่นมาตรฐานที่ประกอบไปด้วยด้วยเครื่องยนต์ V8 ความจุ 4.4 ลิตร ทวินเทอร์โบ “S68” พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าประกบระหว่างเครื่องยนต์กับเกียร์อัตโนมัติ ZF แปดสปีด พร้อมส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD

เมื่อทำงานพร้อมกันทั้งเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้า สามารถมอบกำลัง 644 แรงม้า ที่ ที่ 5,400 รอบ/นาที (483 แรงม้าจากเครื่องยนต์, 194 แรงม้าจากมอเตอร์) และแรงบิด 800 นิวตันเมตร ระหว่าง 1,600-5,000 รอบ/นาที สิ่งที่น่าสนใจคือ มอเตอร์ไฟฟ้าสร้างแรงบิดได้เอง 280 นิวตันเมตร แต่มีชุดเกียร์พิเศษที่แทรกระหว่างมอเตอร์และเกียร์ ZF เพื่อให้สามารถสามารถเค้นแรงบิดให้สูงสุดถึง 450 นิวตันเมตร

มอบอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ที่ 4.3 วินาที กับความเร็วสูงสุดถูกจำกัดให้ทำได้เพียง 250 กม./ชม. แต่ลูกค้าสามารถเลือกปรับจูนให้สามารถทำความเร็วสูงสุด 270 กม./ชม. ด้วยแพ็คเกจ M Driver Package

กับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 25.7 กิโลวัตต์ชั่วโมง ที่สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้เร็วถึง 140 กม./ชม. แต่ระยะทางต่อความจุแบตเตอรี่เต็ม 100% นั้นกลับทำได้เพียง 82 – 88 กม. (WLTP) เท่านั้น

แม้จะเป็นตัวเลขอัตราเร่งที่ช้ากว่า และวิ่งได้สั้นกว่าเมื่อขับขี่ด้วยโหมด EV เมื่อเทียบกับสเปคขุมพลังขั้นต้น เนื่องจาก BMW MX รุ่นมาตรฐานมีน้ำหนักมากถึง 2,750 กก. แต่ชดเชยด้วยฐานล้อยาว, ระยะห่างล้อที่กว้าง การกระจายน้ำหนัก 50/50 และการวางแบตเตอรี่ที่ต่ำ มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ทำให้ XM สามารถผสมผสานระหว่างสมรรถนะ และความสะดวกสบายได้อย่างลงตัว

สำหรับรุ่น XM Label Red ได้เผยตัวเลขสมรรถนะว่าจะให้แรงม้าจากเครื่องยนต์มากถึง 585 แรงม้า แรงบิด 750 นิวตันเมตร และเมื่อรวมกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าจะแรงสูงสุดถึง 735 แรงม้า และแรงบิด 996 นิวตันเมตร

พัฒนาช่วงล่างใหม่สำหรับรับน้ำหนักรถที่มากกว่า 2 ตัน

ขณะที่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ xDrive AWD ที่ปรับแต่งใหม่ ที่มาพร้อมระบบ 4WD Sport และเฟืองท้าย M sport ที่พัฒนาเป็นพิเศษ ที่ช่วยกระจายแรงบิดล้อทั้งสี่แบบเฉพาะจุด และระบบจำกัดการลื่นไถลของล้อแบบ Near-actuator เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเกาะถนนที่ดียิ่งขึ้นซึ่งเร็วกว่าการใช้ระบบ DSC

พร้อมกับช่วงล่างที่เซ็ตไว้สำหรับ SUV รุ่นใหญ่ ด้วยระบบกันสะเทือนหน้าแบบดับเบิลวิชโบน, โครงล้ออะลูมิเนียม, สปริงเหล็กพร้อมแดมเปอร์แบบปรับได้ด้วยไฟฟ้า, ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวแบบแอ็คทีฟ กับเหล็กกันโคลงที่ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ 48 โวลต์ ที่เป็นออพชั่นมาตรฐาน และยังมาพร้อมกับพวงมาลัยเพลาหลังเป็นรุ่นแรกของ M ด้วย ขณะที่ระบบเบรกก็ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเฉพาะอีกด้วย

BMW XM มีราคาเริ่มต้นที่ 159,000 ดอลลาร์ หรือราว ๆ 6.03 ล้านบาท ขณะที่รุ่น XM Label Red จะอยู่ราว ๆ 185,000 ดอลลาร์ หรือ 7.02 ล้านบาท และเริ่มผลิตในไตรมาสที่สี่ของปี 2022 ที่โรงงาน Spartanburg ในเซาท์แคโรไลนา ส่วนจะเข้าไทยหรือไม่นั้นคงต้องรอลุ้นกัน

เครดิตข้อมูลจาก bmwblog.com


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง