สถานการณ์ชายแดนกัมพูชากำลังน่าจับตา หลังมีรายงานว่าทหารหลายสิบนายในจังหวัดอุดรมีชัยเริ่มป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ ตั้งแต่คืนก่อนวันที่ 6 สิงหาคม 2568 โดยมีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย อาเจียน ไอ เจ็บคอ หายใจร้อน และบางรายมีอาการท้องเสียร่วมด้วย โรงพยาบาลสำโรงในพื้นที่ยังไม่สามารถระบุสาเหตุได้แน่ชัด เนื่องจากขาดแคลนเครื่องมือและไม่มีห้องแล็บตรวจโรค ล่าสุดแพทย์ทหารกัมพูชาคาดว่าอาจเป็น “ไข้มาลาเรีย” และเตรียมส่งทีมแพทย์จากพนมเปญเข้าพื้นที่เพื่อประเมินสถานการณ์โดยด่วน
สำหรับคนไทยที่อาศัยอยู่ใกล้ชายแดน หรือมีแผนเดินทางไปกัมพูชา ควรเฝ้าระวังและรู้วิธีป้องกันโรคมาลาเรียอย่างจริงจัง เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและครอบครัว
มาลาเรียคืออะไร? เกิดจากอะไร? รักษาอย่างไร?
มาลาเรีย (Malaria) เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากโปรโตซัวในกลุ่ม Plasmodium ซึ่งเข้าสู่ร่างกายผ่านการกัดของ “ยุงก้นปล่อง” ที่เป็นพาหะนำโรค

การติดเชื้อ
- ยุงก้นปล่องที่มีเชื้อจะกัดคนและปล่อยเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด
- เชื้อจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดง ทำให้เกิดอาการไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อย และอาจมีอาการแทรกซ้อนรุนแรง
การรักษา
- ใช้ยาต้านเชื้อมาลาเรีย เช่น Artesunate, Chloroquine หรือ Mefloquine ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อ
- หากรักษาไม่ทัน อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น มาลาเรียขึ้นสมอง โลหิตจางรุนแรง หรือไตวาย การตรวจวินิจฉัย
- ตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อ Plasmodium
- ต้องใช้ห้องแล็บและเครื่องมือเฉพาะทาง ซึ่งโรงพยาบาลท้องถิ่นบางแห่งอาจไม่มี
คนไทยในพื้นที่ชายแดนควรระวังอย่างไร?
สำหรับประชาชนไทยที่อาศัยอยู่ในจังหวัดใกล้ชายแดน เช่น ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี หรือผู้ที่มีแผนเดินทางไปกัมพูชา ควรป้องกันตัวเองจากโรคมาลาเวียด้วยวิธีต่อไปนี้ :
- ใช้ยาทากันยุงที่มี DEET เป็นส่วนประกอบ
- สวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ปกปิดร่างกายให้มิดชิด
- นอนในมุ้งที่ชุบสารกันยุง หรือในห้องที่มีมุ้งลวด
- หากมีอาการไข้ หนาวสั่น หรือปวดเมื่อยหลังจากเดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยง ควรรีบพบแพทย์ทันที
เนื่องจากยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคมาลาเรียโดยตรง การป้องกันจึงเน้นที่การหลีกเลี่ยงการถูกยุงกัด โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง เช่น ป่าเขา หรือชายแดนที่มีรายงานการระบาด