ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางประชากรครั้งใหญ่ โดยในปี 2050 คาดว่าจำนวนผู้สูงอายุ (ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป) จะเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าเป็น 1.2 พันล้านคน* ซึ่งมีการเรียกกลุ่มประชากรนี้ว่า “สึนามิสีเงิน” (Silver Tsunami) และจะกลายเป็นหนึ่งในสี่ของประชากรทั้งหมดในภูมิภาคนี้ พร้อมกับมีการคาดการณ์ล่าสุดที่แสดงให้เห็นว่าจำนวนผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์จะเพิ่มขึ้น
ดร. แกรี่ สมอล สมาชิกคณะที่ปรึกษาด้านโภชนาการของ Herbalife ชวนทุกคนทำความรู้จักโรคอัลไซเมอร์ พร้อมเรียนรู้วิธีรับมือเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์
3 ช่วงการเปลี่ยนแปลงของสมอง เมื่ออายุมากขึ้นและภัยคุกคามจากอัลไซเมอร์
เมื่อเราอายุมากขึ้น สมองของเราย่อมมีการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งการทำงานของจิตใจที่จะพัฒนาตามไปด้วย โดยสามารถแบ่งความเปลี่ยนแปลงออกเป็น 3 ช่วง ดังนี้
- การแก่ชราปกติ (มีอาการหลงลืมเล็กน้อยที่คงที่)
- ภาวะบกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อย (มีความท้าทายทางสติปัญญาที่เห็นได้ชัดเจนขึ้น แต่ยังสามารถดูแลตนเองได้)
- โรคสมองเสื่อม (ความสามารถทางสติปัญญาเสื่อมลง และมีผลกระทบต่อความสามารถในการดูแลตนเอง)
โรคอัลไซเมอร์ “โรคที่มองไม่เห็น”
โรคอัลไซเมอร์มักถูกเรียกว่า “โรคที่มองไม่เห็น” เนื่องจากมีอาการแรกเริ่มที่หลายคนมักมองข้าม เช่น การหลงลืมเพียงเล็กน้อยหรือมีปัญหาในการจดจ่อ ซึ่งมักถูกมองข้ามว่าเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงตามอายุทั่วไป แต่ความเข้าใจนี้อาจไม่ใช่เสมอไป โรคอัลไซเมอร์สามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่ก่อนที่จะมีอาการ บางครั้งอาจเริ่มมีสัญญาณให้เห็นนานถึง 20 ปีก่อนที่อาการจะปรากฏ และเมื่อมีอาการ สมองอาจเสียหายรุนแรงไปแล้ว ดังนั้นการตรวจพบและการป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ จึงมีความสำคัญมาก
แนวทางป้องกันโรคอัลไซเมอร์ด้วยโภชนาการ
หนึ่งในแนวทางที่มีศักยภาพที่สุดในการป้องกันโรคอัลไซเมอร์คือการดูแลโภชนาการ โดยมีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า อาหารที่เรารับประทานมีผลอย่างมากต่อสุขภาพสมองทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยปัจจัยเสี่ยงร่วมกันระหว่างโรคหัวใจและโรคสมองเสื่อมบ่งชี้ว่า การใช้แนวทางโภชนาการแบบองค์รวมอาจเป็นมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ โดยการปรับอาหารให้เน้นไปที่อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ รวมทั้งปรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตให้กระฉับกระเฉงมากขึ้น จะทำให้สามารถควบคุมความอ้วนลงพุง ความดันโลหิตสูง และปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อสุขภาพสมองและสุขภาพโดยรวมได้
อาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารบำรุงสมองอย่าง สารต้านอนุมูลอิสระ กรดไขมันโอเมก้า 3 และสารอาหารจำเป็นอื่นๆ สามารถสนับสนุนการทำงานของสมองและลดความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์ได้
แนวทางการดูแลสมองแบบองค์รวม
นอกจากโภชนาการแล้ว ยังมีวิธีการเพิ่มเติมที่เราสามารถนำมาใช้เพื่อรักษาและเสริมสร้างการทำงานของสมองเมื่ออายุมากขึ้นได้อย่าง
- การออกกำลังกายเป็นประจำที่ช่วยทั้งเรื่องการรักษาสุขภาพร่างกายและรักษาสุขภาพสมอง เนื่องจากการออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังสมอง เสริมสร้างการเจริญเติบโตของเซลล์ประสาท และเพิ่มความยืดหยุ่นของการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาท ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยสำคัญต่อสุขภาพสมอง
- ผู้สูงวัยสามารถออกกำลังกายง่าย ๆ เช่น การเดินหรือการฝึกแบบต้านแรง รวมทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงจากโรคอ้วน เบาหวาน และโรคหัวใจ ซึ่งมีผลเชื่อมโยงกับโรคอัลไซเมอร์ได้อีกด้วย
- กระตุ้นสมองผ่านกิจกรรมที่ท้าทาย เช่น การอ่าน การเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ หรือการเล่นเกมเชิงกลยุทธ์ ช่วยเสริมความทนทานของสมองและพัฒนาจิตใจ โดยงานวิจัย*พบว่า ผู้ที่ทำกิจกรรมเหล่านี้บ่อยๆ มีแนวโน้มที่จะรักษาและพัฒนาความจำได้ดี รวมทั้งความเร็วในการประมวลผล ความสนใจ และการรับรู้ก็เพิ่มขึ้น ซึ่งการกระตุ้นสมองจะช่วยกระตุ้นวงจรประสาทและสามารถลดความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์ได้
สุขภาพจิตอีกปัจจัยสำคัญ
นอกจากนี้ สุขภาพจิตยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ถูกมองข้าม ทั้งความเครียดเรื้อรัง ภาวะซึมเศร้า และความวิตกกังวลเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ในทางกลับกัน อารมณ์และความสัมพันธ์ทางสังคมที่แข็งแกร่งจะช่วยป้องกันโรค ดังนั้น การสนับสนุนสุขภาพจิตในผู้สูงอายุผ่านการให้คำปรึกษา การทำกิจกรรมทางสังคม และการฝึกฝนสติสามารถช่วยรักษาการทำงานของสมองได้อย่างมีนัยสำคัญ
แม้ “สึนามิผู้สูงวัย” จะใกล้เข้ามา แต่การเพิ่มขึ้นของโรคอัลไซเมอร์ไม่จำเป็นต้องเพิ่มขึ้นตาม เราสามารถป้องกันได้โดยการตรวจโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ ดูแลการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รวมทั้งออกกำลังกายทั้งร่างกายและสมองอย่างสม่ำเสมอ ควบคู่กับการดูแลสุขภาพจิตไปพร้อมกัน