คัดลอก URL แล้ว
คุยกับแบรนด์ “ยักษ์ไทย” ผลิตภัณฑ์ไทยแท้ที่ผลิตในเยอรมนี

คุยกับแบรนด์ “ยักษ์ไทย” ผลิตภัณฑ์ไทยแท้ที่ผลิตในเยอรมนี

เรื่องน่าตื่นเต้นในวันนี้ คือ เฟสบุค เด้งสินค้ายั่วยวนมาเป็นน้ำพริกปลาร้าแห้งปลาซาบะ คลิกเพลินตามใจไปเรื่อยๆก็เจอกุนเชียง หมูยอของโปรดอีก แค่เห็นชื่อแบรนด์พร้อมกับโลโก้ยักษ์สีสดใสก็อดสั่งมาชิมไม่ได้

แต่แค่กดเอฟอย่างเดียวยังไม่หนำใจ คำถามมันวนมาในหัวเต็มไปหมดค่ะ ว่าเอ๊ะ เค้าผลิตที่ไหน ยังไงนะ ช้าอยู่ใยขอชวนคุยเลยดีกว่า

เจ้าของแบรนด์คือ คุณชลธิชา ช็อปซ์ และ คุณอเล็กซ์ ช็อปซ์ จะมาเล่าให้เราฟังถึงเรื่องราวก่อนมาเป็นยักษ์ไทย

อดีตพี่ชลทำงานเป็นพยาบาลวิชาชีพ ร.พ.ชุมชน ที่บ้านเกิด จังหวัดกำแพงเพชร ตั้งใจเริ่มต้นหาอาชีพใหม่เมื่อถึงจุดอิ่มตัวกับงานราชการ

ทั้งสองคนพบรักกันที่ไทยและใช้เวลาศึกษาดูใจแบบรักทางไกลอยู่นานจนแต่งงานมีลูก พี่ชลก็ยังมีความสุขกับการอยู่เมืองไทยและบินไปบินมาเยอรมนี เพียงปีละครั้งสองครั้ง เพราะไม่ชอบอากาศหนาว อีกทั้งตัวเองก็ยังมีความสุขกับกิจการของตัวเองอยู่ด้วย

“ที่บ้านพี่ทำธุรกิจขนมไทยขายส่ง สารพัดสารพันขนมหวาน ยังมีวิชาติดตัวมาทำกินถึงทุกวันนี้ คลุกคลีกับการค้าขาย ชอบหาธุรกิจใหม่ๆทำตลอด ทำอะไรก็ลุยสุดตัว พื้นฐานพี่เป็นคนแบบนั้น”

มอม้าคึกคัก ยอยักษ์เขี้ยวใหญ่

ใครจะคิดว่าก่อนมาเป็นแบรนด์ไทยที่ผงาดอยู่ในเยอรมนีและส่งขายทั่วยุโรป จะเริ่มจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อธุรกิจที่ไทยล้มไม่เป็นท่า เพราะเลือกลงทุนผิด ทำให้เกิดหนี้สินก้อนโตแทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว

พี่ชลเล่าความในใจหมดเปลือกว่า เวลานั้นมันยากมาก หมดแรง ข้างในมันพังจนล้มป่วยเข้าออกโรงพยาบาลอยู่ครึ่งปี กว่าจะค่อยๆกอบโกยพลังที่เหลือน้อยเต็มทีมาได้เพราะมันทุกข์ใจ ดิ่งแบบหาทางออกไม่เจอ

รู้แต่ว่าเราอยู่ไทยไม่ได้แล้ว ต้องไปหาแสงสว่างเอาข้างหน้า และถ้าไม่ประสบความสำเร็จจะไม่กลับมา

นั่นเป็นการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่และไม่รู้โชคชะตาข้างหน้าว่าจะเปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล

“ตอนย้ายมาเยอรมันทุกวันในใจเฝ้าแต่คิดว่า โอ้ย ทำยังไงดี ให้ชั้นปลดหนี้ได้ แต่ทำอะไรดีล่ะ ให้ขายขนมเล็กๆน้อยๆคงไม่พอเอาไปใช้หนี้เป็นสิบล้านหรอก ที่สำคัญกว่าการใช้หนี้ คือ พี่อยากกลับมายืนได้ด้วยตัวเองอีกครั้ง”

ครั้งนี้เหมือนการเริ่มต้นเดิมพันทวงคืนศักดิ์ศรีกลับมาด้วยต้นทุนที่ติดลบของพี่ชล

วันที่แสนจะธรรมดาวันนึง สามีพาไปซื้อเนื้อหมูที่โรงงานใกล้ๆแถวบ้าน พี่ก็พูดขึ้นมาเล่นๆว่าสักวัน ชั้นจะมีกิจการเล็กๆของตัวเองบ้าง พร้อมเกริ่นไอเดียที่อยากจะไปทำงานโรงงาน

“ใจน่ะ ขอทำอะไรก็ได้ อยากลองดูสักตั้ง อย่างน้อยขี้หมูขี้หมาก็คงพอได้วิชาทำไส้กรอกกลับไทยไปบ้างล่ะ” พี่ชลว่าพลางหัวเราะ

คิดแล้วลงมือทำตามสไตล์ จึงทำนัดหมายไปคุยแล้วจังหวะดี เค้าเปิดโอกาสให้เราได้ทำงานเลย เริ่มจากปัดกวาดเก็บของเล็กๆน้อยๆ แค่ได้ซึมซับบรรยากาศในโรงงานก็ดีใจมากแล้ว

เหมือนฟ้าเปิด เชฟมองทะลุเห็นความมุ่งมั่น และความสามารถที่ซ่อนอยู่ในตัวเรา ทำให้มาทำงานแต่ละวันสนุกมาก กลายเป็นว่าเค้าเรียกเรามาสอนนู่นนี่ ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมมากมาย ทั้งเรียนทำสลัด ทำไส้กรอก คุ้มเกินค่าจ้างวันละราวๆพันบาท ทำไปทำมาเลยขอเค้าว่า เปลี่ยนค่าจ้างเป็นพวกเนื้อ ไส้หมู ไขมันแทนได้มั้ย แล้วก็เอามาลองทำกุนเชียง

“พอได้วัตถุดิบพร้อม พี่ก็เริ่มเปิดตำราเก่าๆดูบ้าง ปรับสูตรตามยูทูบบ้าง ที่เยอรมันเค้าห้ามใช้แป้งมันเป็นส่วนผสม เลยโทรปรึกษาอาจารย์ที่เคยลงคอร์สเรียนที่ไทย ว่าทำอย่างไรดี เค้าแนะนำว่าให้ใช้เนื้อหมูนั่นแหละเข้ามาผสมแทน ผลลัพธ์ออกมาทำให้กุนเชียงเรานุ่มอร่อยแบบไร้แป้งมัน”

หลังจากทำเสร็จ ลองโพสขายในเฟสบุค 10 กิโลแรก ก็มีลูกค้าสั่งกันถล่มทลายและฟีดแบคเรื่องรสชาติก็ดีมาก

จากเงินค่าจ้างที่ได้มา 30 ยูโร ไปแลกวัตถุดิบทำกุนเชียง ออเดอร์มีเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย นี่แหละแสงแรกที่จุดประกายให้มีความหวังขึ้นมาและเราเห็นพ้องตรงกันว่าจะเริ่มธุรกิจนี้อย่างจริงจัง

ติดต่อโรงงานเพื่อทำกุนเชียง

เป็นเรื่องที่ท้าทายมาก เพราะต่างจากการผลิตในครัวเรือนอย่างสิ้นเชิง ทุกขั้นตอนต้องผ่านการตรวจสอบจาก อ.ย ทุกกระบวนการผลิตเกิดขึ้นที่โรงงานเยอรมัน

โดยเฉพาะเรื่องความสะอาดและความปลอดภัย มีเจ้าหน้าที่นัดมาตรวจเกือบทุกสัปดาห์ แม้แต่การจัดเก็บสินค้าก็ต้องมีอุณหภูมิที่พอดีตามมาตรฐานที่เค้ากำหนดไว้ ช่วงแรกเราถึงกับต้องเช่าคอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่มาวางของ ชมภาพประกอบค่ะ

มาถึงเรื่องที่ไม่เล่าไม่ได้ กับประสบการณ์การผลิตครั้งแรก โรงงานที่นี่เค้าไม่รู้จักอาหารแปรรูปแบบบ้านเรา

ฝรั่งเค้าไม่เก็ทกับเราว่าสูตรสไตล์ไทยต้องใส่เครื่องปรุงรส มีน้ำตาลเพิ่มรสหวาน ล็อตแรกเจอแจ็คพอตเลย ออกมาเป็นซาลามี (Salami ) รสเปรี้ยว ไม่ใช่กุนเชียงแบบที่ต้องการ พูดให้ฟังแล้วยังนึกขำ แต่ตอนนั้นขำไม่ออกจริงๆ เพราะต้องทิ้งเงินไปถึง 10,000 ยูโร

กว่าจะได้ตามสูตรเป๊ะๆ ก็ปั้นกันอยู่นาน ปรับเปลี่ยนปรุงรสจนเรามั่นใจว่าจะได้ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด

“ระหว่างทาง มันเจ็บปวด เหนื่อย แต่มีความสุขมาก เพราะพี่ทำมันด้วย Passion ช่วงหลังชนฝาแบบไม่มีอะไรให้ยึด เราก็เดินผ่านมาแล้ว เลยพร้อมรับทุกปัญหา ” พี่ชลบอกว่าพร้อมชนได้สบายละตอนนี้

ฝ่าวิกฤตร่วมกันมาจนเป็นยักษ์ไทยที่ใจดี

เราอยากให้แบรนด์เรานั่งอยู่ในใจคนไกลบ้านทุกคน ยักษ์นั้นสื่อถึงสินค้าของไทยและสามีพี่ก็รักเมืองไทยมาก จึงบอกให้ทีมออกแบบช่วยดีไซน์ให้เป็นโลโก้ที่ยิ้มแย้ม บวกโทนสีที่สนุก ส่งมอบความรู้สึกดีดีให้ลูกค้า เปิดทานแล้วแฮปปี้ อิ่มอร่อยทุกคน

หัวใจหลักของเรา คือ คัดสรรและปรุงด้วยวัตถุดิบที่ปลอดภัย ใส่ใจในการแพ็คทุกกล่อง พี่ชลไม่พูดเปล่า โชว์กล่องพร้อมสติ๊กเกอร์ กับเจ้าบับเบิ้ลกันกระแทกที่ผลิตจากมันสำปะหลัง ด้วยรอยยิ้มแบบภูมิใจนำเสนอสุดๆ

ที่เยอรมันให้ความสำคัญมากกับขยะที่ย่อยสลายง่ายเเละเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม Zero waste product เราจึงขอเป็นส่วนหนึ่งแม้จะเล็กๆน้อยๆ ถ้าทุกคนช่วยกันสนับสนุนต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่นอน

“พี่บอกสามีเสมอว่า เค้าไม่รู้หรอกว่าสินค้าเราอร่อยมั้ย ดีหรือไม่ดี แต่ลูกค้าเปิดกล่องมาแล้วต้องประทับใจ เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดความทรงจำที่ดีและรีออเดอร์”

หลังจากประสบความสำเร็จในส่วนของโปรดักส์ตัวยืนพื้น คือ กุนเชียง หมูยอ น้ำพริกต่างๆก็ทยอยออกมาให้ได้ฟินอีกหลายรส

ปีนี้ยักษ์ไทยยังมีแผนจะต่อยอดเปิดหน้าร้านอีกด้วย จะเป็นแบบไหนอย่างไรต้องติดตาม

ฟีดแบคจากลูกค้าที่ตอบกลับมาเป็นคำชม ด้วยภาพกับข้าวที่เค้าทานแล้วส่งมาอวดเรา ก็เป็นโมเมนต์หนึ่งที่น่าประทับใจ ทำให้เรามีความสุขจนอดยิ้มไม่ได้

พี่ชลช่วยเสริมกำลังใจให้คนที่กำลังท้ออีกว่า ถ้าพี่ทำได้ ทุกคนก็ทำได้ คนเราคิดใหม่ ทำใหม่ เริ่มใหม่ได้ตลอด

จงใช้ชีวิตด้วยความสุขอยู่ทุกวัน ไม่มีใครย้อนกลับไปแก้ไขในอดีตได้ ขอบคุณทุกเหตุการณ์ที่สอนให้เราแกร่งขึ้น

ทำอะไรก็ตามให้ศึกษาจนรู้จริง มีความเชื่ออย่างสุดหัวใจ และมีเป้าหมาย

เมื่อถามว่าธุรกิจทุกวันนี้ได้ดังที่ตั้งใจไว้หรือยัง พี่ชลบอก นี่เป็นความสำเร็จที่สุดยอด เกินฝันมาก ที่สำคัญล่าสุดให้สามีลาออกจากตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบในบริษัทรถยนต์ชื่อดังมาเป็นลูกจ้างในบริษัทแล้วด้วย

ปัจจุบันทั้งคู่ต่างร่วมแรงร่วมใจกับแบรนด์ที่เป็นธุรกิจของครอบครัว สนุกด้วยกันทุกวัน มีเวลาให้กันมากขึ้น และโฟกัสไปข้างหน้าอย่างเต็มที่

เราจบบทสนทนามื้อนี้ด้วยความฟินกับเมนูน้ำพริกปลาซาบะแห้งคลุกข้าวสวยร้อนๆหอมกรุ่นกลิ่นกุนเชียง ทานไปก็แอบนึกในใจว่า ขอให้แบรนด์ยักษ์ไทยอยู่ยงจงเจริญไปอีกนานแสนนาน


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง