หลังจากที่ได้เปิดตัว Mercedes-Benz E-Class โฉมใหม่ล่าสุดเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ในเวลานี้ก็ได้รับการขยายไลน์ย่อยใหม่ ๆ ด้วยการเปิดตัวรุ่นแวกอนขวัญใจพ่อบ้านในชื่อ The new E-Class Estate ที่ได้รับการยกระดับทั้งขนาดตัวถัง พื้นที่โดยสาร ฟีเจอร์สมัยใหม่ เพิ่มความสนุกและความผ่อนคลายในการเดินทางมากยิ่งขึ้น
บุคลิกภายนอกจะยังคงความเป็น E-Class โฉมใหม่ แต่จะมีการปรับดีไทลกระจังหน้า กันชนหน้า รวมถึงไฟท้ายใหม่สำหรับ 5 ประตู และตัวประตูท้ายยังมาพร้อมระบบควบคุมด้วยไฟฟ้า นอกจากนี้เส้นสายตัวถังก็ยังคงมอบความโฉบเฉี่ยว สง่างาม
อ่านข่าวเพิ่มเติม:
- Mercrdes-Benz ประกาศขยายรับประกันแบตเตอรี่ PHEV ตลอด 10 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
- Mercedes-Benz เปิดตัว The new E-Class จัดเต็มฟีเจอร์อัจฉริยะรอบคัน
- Mercdes-Benz ประกาศเปิดไลน์การผลิต Maybach รุ่น PHEV ในประเทศไทย พร้อมแนวทางการสร้างสรรค์บูธจัดงานรูปแบบใหม่
สำหรับภายในจะได้รับ MBUX Superscreen ที่มาพร้อมจอยาวถึงฝั่งผู้โดยสารตอนหน้าเป็นตัวเลือก ซึ่งจะมาพร้อมฟีเจอร์แสดงผลสำหรับผู้โดยสารโดยเฉพาะ จึงสามารถรับชมสตรีมเนื้อหาทีวี และวิดีโอได้แม้ในขณะเดินทาง แต่ผู้ขับขี่จะไม่สามารถเห็นภาพได้นื่องจากกล้องจะจับหน้าผู้ขับขี่ และสั่งการให้จอหรี่แสงลง อีกทั้งยังมีกล้องสำหรับรองรับการประชุมผ่าน Zoom และ Webex ช่วยให้สามารถประชุมทางวิดีโอได้เมื่อรถจอดอยู่
ระบบอินโฟเทนเมนต์ยังรองรับแอปพลิเคชั่น และฟีเจอร์ตัดแต่งวีดีโอ รับชมโซเชียลมีเดีย จนถึงเล่นเกมได้ อีกทั้งระบบภาพเสียงใหม่จะแปลเสียงเพลง และเอฟเฟ็กต์จากภาพยนตร์ หรือแอพที่กำลังเล่นผ่าน Hi-Fi ให้เป็นพัลส์จากการตั้งค่า Active Ambient Lighting ซึ่งจะช่วยสร้างแสงบรรยากาศรอบห้องโดยสารให้ตื่นตาตื่นใจยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์อื่น ๆ ที่อัดแน่นในรถรุ่นนี้ ประกอบด้วย Digital Key (รองรับทั้ง Apple และ Android) กับระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติที่ผู้ขับขี่ต้องควบคุมด้วยตัวเอง ทั้งคู่เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน แต่ลูกค้าสามารถอัปเกรดเป็นระบบสั่งการจอดรถระยะไกล (ผ่านสมาร์ทโฟน) และระบบบันทึกตำแหน่งจอดรถ (ซึ่งสามารถบันทึกการหลบหลีกที่แตกต่างกันได้ 5 แบบ) นั้นเป็นทางเลือก ซึ่งฟีเจอร์ดังกล่าวจะถูกกำหนดขึ้นอยู่กับข้อบังคับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และโรงจอดรถที่เหมาะสมในแต่ละท้องถิ่น
Mercedes-Benz E-Class Estate อาจเรียกได้ว่าเป็นรถแวกอนที่ใหญ่ที่สุดของแบรนด์ ด้วยการขยายฐานล้อจากเดิมให้ยาวขึ้น 22 มม. เป็น 2,961 มม. ความกว้างเพิ่มขึ้น 28 มม. เป็น 1880 มม. ความยาวเพิ่มขึ้น 4 มม. เป็น 4949 มม. และความสูงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1 มม. เป็น 1469 มม.
ด้านพื้นที่บรรทุกสัมภาระท้ายนั้น จะมี 2 ความจุตามประเภทขุมพลัง โดยรุ่น ICE จะได้รับพื้นที่ห้องสัมภาระท้ายมากถึง 640 ลิตร และหากพับเบาะแถวหลังแยกจนหมด ก็จะขยายความจุสูงสุดถึง 1,830 ลิตร ขณะที่รุ่นขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด ด้วยการเพิ่มอุปกรณ์และแบตเตอรี่ส่งผลให้ความจุห้องสัมภาระท้ายลดลงเหลือเพียง 460 ลิตร หรือพับเบาะแถวหลังทั้งหมดจะได้ความจุเพียง 1,785 ลิตร
สำหรับขุมพลังขอประเดิมด้วยสเปคยุโรป ที่จะจำหน่ายเฉพาะขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดเป็นหลัก เริ่มจากรุ่น E300e ที่จะจำหน่ายในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ จะได้รับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร 204 แรงม้า (PS) กับมอเตอร์ไฟฟ้า 95 กิโลวัตต์ หรือ 129 แรงม้า (PS) จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด เมื่อผสานการทำงารร่วมกันจะให้กำลังรวมสูงสุด 312 แรงม้า (PS) มอบอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 6.5 วินาที และแบตเตอรี่ขนาด 25.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง จะให้ระยะการขับขี่มากกว่า 100 กม. โดยประมาณ ทั้งนี้ตัวเลือกขุมพลัง PHEV จะมีการเพิ่มเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ และ 6 สูบ ด้วย
ส่วนขุมพลัง ICE จะเป็นแบบไฮบริด ซึ่งมีทั้งรุ่นเบนซินสี่สูบ “E200” 204 แรงม้า (PS) และดีเซล 4 สูบ “E220d” 217 แรงม้า (PS) ทุกรุ่นจับคู่ e-Motor ที่ให้กำลังสูงถึง 23 แรงม้า (PS)
ด้านช่วงล่างจะใช้โช้คอัพถุงลม Mercedes’ Airmatic ซึ่งจะมีการติดตั้งที่ล้อหลังเพิ่มด้วย ซึ่งจะให้ความนุ่มนวลภายในห้องโดยสารที่มากขึ้น ทั้งนี้รายละเอียดระบบความปลอดภัย และอุปกรณ์อื่น ๆ จะถ่ายทอดจากรุ่นซีดานเป็นหลัก
โดย Mercedes-Benz E-Class Estate จะเริ่มจำหน่ายในยุโรปช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ และอาจจะมีแผนจำหน่ายในต่างประเทศทั่วโลกภายในช่วงปลายปี 2023 และปี 2024 เป็นต้นไปอีกด้วย
เครดิตข้อมูลจาก carscoops.com