Vinfast แบรนด์รถยนต์สัญชาติเวียดนาม ที่ได้กลายเป็นค่ายรถน้องใหม่ที่น่าจับตากันทั้งโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินหน้าบุกตลาดอเมริกาด้วยรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด แต่ดูเหมือนว่าในเวลานี้ความสำเร็จที่คาดหวังไว้เกิดการสะดุดด้วยปัญหาต่าง ๆ ทั้งการรีวิวแง่ลบ ส่งมอบล่าช้า และส่งผลให้ขาดทุนสะสม มีแผนลดพนักงานในอเมริกาประมาณ 80 ตำแหน่ง รวมถึงประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของสหรัฐด้วย
เกิดอะไรขึ้นกับแบรนด์น้องใหม่ที่มีความทะเยอทะยานในการตีตลาดในประเทศที่ตลาดยานยนต์หินที่สุด แต่ผลัพธ์กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่คาดคิด จะมาวิเคราะห์ และสรุปสาเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนี้กัน
ราคาสูงกว่าแต่สวนทางกับสเปคที่ควรจะได้
เริ่มจากการประกาศราคาของรถยนต์ไฟฟ้า Vinfast ที่จำหน่ายในอเมริกานั้นจะมีทั้ง VF8 ECO ราคา 49,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ กับรุ่น Plus ราคา 59,0000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และ VF9 ราคา 83,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือได้ว่ามีราคาที่สูงเทียบเท่ารถยนต์หรูเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ราคาเริ่มต้นจะจะลดลงเหลือ 42,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ หากคุณเช่าแบตเตอรี่รายเดือนจะอยู่ที่ประมาณ 169 ดอลลาร์สหรัฐฯ
แม้จะมีราคาที่สูง แต่จากข้อมูลของนักรีวิวอิสระในอเมริกา ต่างให้ความเห็นทั้งวัสดุตกแต่งภายในมีคุณภาพสวนทางกับราคา, ระยะทางในการวิ่งความเป็นจริงจากผลการทดสอบทางสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐฯ (EPA) ทำได้เพียง 288 กม. หรือ 179 ไมล์/ชาร์จเต็ม 1 ครั้ง จากเดิมที่ประกาศไว้ในหน้าเว็บไซต์ว่าจะสามารถวิ่งได้ไกลกว่า 470 กม. หรือ 292 ไมล์/ชาร์จเต็ม 1 ครั้ง, ไม่ได้แสดงข้อมูลประสิทธิภาพการชาร์จเร็ว (DC) อย่างเป็นทางการ รวมถึงมีปัญหาจุกจิกที่พบในระหว่างการขับขี่จริง
ยังไม่นับรวมข่าวฉาวว่าทางบริษัทฯ เสนอเชิญชวนสื่อในอเมริกาหลายรายร่วมทดสอบในประเทศเวียดนาม โดยเผยว่าเป็นการทดสอบร่วมกับวิศวกร และผู้เชี่ยวชาญภายในประเทศเป็นเวลาหลายวัน พร้อมเสนอค่าจ้างรีวิวเชิงบวกราว 10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ จนกลายเป็นข่าวร้อนในอเมริกาเลยทีเดียว
ส่งมอบล่าช้า แต่สเปคไม่ตรงตามที่ตกลงไว้
หลังจากรถ Vinfast VF8 เดินทางมาถึงอเมริกาล็อตแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมาจำนวนกว่า 999 คัน แต่ได้เกิดปัญหาว่ารถที่เดินทางมาในอเมริกานั้นสเปคไม่ตรงกับที่จองไว้ จาก VF8 เป็น VF8 City Edition ที่มีความจุแบตเตอรี่น้อยกว่า ฟีเจอร์ที่ด้อยกว่า โดยทางบริษัทฯ ได้เผยว่าการส่งมอบที่ล่าช้าเนื่องจากกำลังรอการรับรองจากสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐฯ (EPA) เกี่ยวกับการเพิ่มระยะการขับขี่ของ VF8 โดยมีข้อมูลว่าจะปรับให้วิ่งได้ไกลอีก 32 กม. หรือ 20 ไมล์ พร้อม ๆ กับการอัปเดทซอร์ฟแวร์ไปอีกสักระยะ โดยจะเริ่มส่งมอบช่วงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้
ไม่มีบริษัทประกันเจ้าไหนที่กล้ารับค้ำประกัน
อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ Vinfast VF8 ยังคงค้างอยู่ในท่าเรือฝั่งตะวันตกของอเมริกากว่า 999 คัน ก็เพราะว่าลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ทุกประเภทในอเมริกานั้นจะต้องซื้อประกันรถยนต์จากบริษัทประกันภัยที่ให้การรับรองรถรุ่นนั้น ๆ ได้ แต่ Vinfast VF8 นั้นบริษัทประกันต่าง ๆ ยังไม่ตัดสินใจรับรองรถรุ่นดังกล่าวในเวลานี้เนื่องจากยังไม่ได้รับรองมาตรฐานความปลอดภัยจากหน่วยงานระดับสากล
เนื่องจากตัวรถ Vinfast VF8 และ VF9 กำลังรอการทดสอบความปลอดภัยจากหน่วยงานในอเมริกา เช่น NHTSA, IIHS หรือแม้แต่หน่วยงานระดับสากลอย่าง EURO NCAP ถึงแม้ว่าจะมีรถบางรุ่นของ Vinfast ได้ทำการทดสอบมาตรฐานความปลอดภัยจาก ASEAN NCAP ที่ใกล้เคียงที่สุดอย่าง VF e34 เฉลี่ยได้คะแนนรวมที่ 4 ดาว แต่ยังไม่มีข้อมูลผลการทดสอบความปลอดภัยของ VF8 ในเวลานี้
อีกทั้งผลกระทบจากสมรรถนะ และคุณภาพที่ด้อยกว่าที่อ้างไว้ในเว็บไซต์ของแบรนด์ กับกระแสแง่ลบที่ถาโถมเรื่อย ๆ ส่งผลให้ยังไม่มีบริษัทกล้ารับค้ำประกัน Vinfast VF8 และทำให้ไม่สามารถจำหน่ายแก่ลูกค้าได้ในเวลานี้
จังหวะจำหน่ายที่พลาด
ก่อนหน้านั้นในสหรัฐอเมริกา ได้มีการประกาศนโยบายสนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอเมริกา ด้วยการให้สิทธิประโยชน์เครดิตภาษีใหม่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในสหรัฐอเมริกา แต่ด้วยจังหวะที่ Vinfast จัดจำหน่ายนั้นเป็นรถที่ยังคงนำเข้ามาจากเวียดนาม นอกจากจะยังไม่สามารถได้รับสิทธิ์ส่วนลดที่สูงถึง 7,500 ดอลลาร์แล้ว รวมถึงค่ายรถยนต์ไฟฟ้าในอเมริกาก็ฉวยจังหวะนี้ประกาศลดราคาเพื่อสู้ศึกตลาดยานยนต์ไฟฟ้าที่ดุเดือด
นอกจากนี้ด้วยกระแสวิพากย์วิจารณ์ในแง่ลบที่กล่าวข้างต้นจนส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ที่ยากจะหลีกเลี่ยง ผลที่ได้คือทางบริษัทฯ ต้องประกาศหั่นราคาลงโดยเริ่มต้นในรุ่น Eco ที่ 49,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และรุ่น Plus 56,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ, จัดโปรโมชั่น, จัดบริการเช้าซื้อ VF8 แบบรายเดือน, ระงับโครงการรถยนต์ไฟฟ้าในอเมริกาชั่วคราว และทำการปรับโครงสร้างองค์กรอย่างเลี่ยงไม่ได้
ซึ่งคงต้องจับตาดูกันต่อไปว่าทาง Vinfast จะกู้สถานการณ์ในตลาดอเมริกาอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนการจัดตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ในรัฐนอร์ทแคโรไลน่าอันเป็นความหวังสำคัญ ที่กำลังรอสรุปใบอนุญาตเพื่อให้สามารถเริ่มการก่อสร้างได้ และวางแผนเริ่มทดลองสายการผลิตภายในปี 2024 ซึ่งจะช่วยกู้สถานการณ์ด้านราคารถได้ รวมถึงแผนการจำหน่ายในประเทศอื่น ๆ จะวางแผน และประเมินตลาดต่างประเทศอย่างไรให้รัดกุม เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดซ้ำสอง และสร้างความเชื่อมั่นแก่ลูกค้าและสื่อได้อีกครั้ง
เวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์
เครดิตข้อมูลจาก bbc.com, reuters.com, rfa.org 1, 2 , aseancap.org, bloomberg.com 1, 2, และ carscoops.com 1, 2