บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เตรียมเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดต้อนรับงานบางกอก อินเตอร์แนชันแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 ด้วย NEW MG ES สเตชั่นแวกอนไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด ที่ชูจุดเด่นทั้งรูปลักษณ์ที่พรีเมียมสง่างาม ห้องโดยสารที่กว้างขวาง และฟีเจอร์พรีเมียมแน่น ๆ พร้อมเติมเต็มไลฟ์สไตล์ในทุกช่วงเวลาที่สำคัญ
ซึ่งในเวลานี้ได้มีการเผยหน้าตา และสเปคแบบจัดเต็ม พร้อมเตรียมนับถอยหลังเปิดราคาอย่างเป็นทางการ 20 มีนาคมนี้ มาชมรายละเอียดเต็ม ๆ ของรถรุ่นนี้พร้อมกันได้เลย
NEW MG ES “COMFORTABLE เป็นทุกอย่างเพื่อทุกโมเมนต์”
สเตชั่นแวกอนไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด ที่พร้อมเติมเต็มไลฟ์สไตล์ในทุกช่วงเวลาที่สำคัญ โดดเด่นด้วยพื้นที่ใช้สอยของห้องโดยสารที่มีขนาดใหญ่ใช้ได้จริง ด้วยดีไซน์ภายนอกและภายในที่พรีเมียม มีระดับ ผสานความลงตัวในสไตล์ BRIT DYNAMIC ทั้งในด้านสมรรถนะการขับขี่ (PERFORMANCE) การควบคุม (HANDLING) การออกแบบ (DESIGN) และความปลอดภัย (SAFETY) สู่ประสบการณ์ครั้งใหม่ของรถไฟฟ้าที่มีดีในทุกด้าน พร้อมความสะดวกสบายตลอดการเดินทาง
DESIGN สไตล์การออกแบบที่เรียบหรูแต่ดูล้ำสมัย
NEW MG ES มาพร้อมกับ New ERA Design ที่ออกแบบตัวรถใหม่ทั้งภายนอกและภายในที่ดูเรียบหรูผสานความล้ำสมัยได้อย่างลงตัว และยังคงความอเนกประสงค์ เหมาะกับการใช้งานทุกรูปแบบ อาทิ ไฟหน้า ไฟเบรกดวงที่ 3 และไฟท้าย LED โฉมใหม่แบบ Light Curtain Design ที่ดูโฉบเฉี่ยวและปราดเปรียวมากยิ่งขึ้น พร้อมระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าแบบอัตโนมัติ, ระบบไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน (Daytime Running Lights)
ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว, กระจกมองข้างพับและปรับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยว, ฝาปิดห้องเครื่องด้านหน้า และที่ปิดห้องเก็บสัมภาระท้าย, ระบบไล่ฝ้ากระจกหลัง และ สปอยเลอร์หลัง และชุดราวหลังคา (Roof Rail) รองรับน้ำหนักได้ถึง 75 กิโลกรัม
สำหรับรายละเอียดมิติตัวถัง NEW MG ES ประกอบไปด้วย
- ความยาว x กว้าง x สูง 4,600 x 1,818 x 1,543 มม.
- ระยะความยาวฐานล้อ 2,665 มม.
- ระยะต่ำสุดจากพื้น 115 มม.
สำหรับสีตัวถัง จะมีให้เลือกด้วยกัน 5 สี ได้แก่ สีขาว (Arctic White) สีดำ (Black Knight) สีเทา (Andes Gray) สีแดง (Scarlet Red) และ สีเงิน (Champagne Silver)
Interior Design ความพรีเมียมภายในที่ใช้งานได้จริง
ห้องโดยสารที่มอบความเรียบหรู กว้าง สะท้อนความทันสมัยและความสะดวกสบายเมื่อได้สัมผัสจริง พร้อมมอบความสวยงามลงตัวกับห้องโดยสารสีทูโทนด้วยแถบสีฟ้า ENERGETIC BLUE STRIP บนแผงคอนโซลหน้า และประตู พร้อมหุ้มด้วยวัสดุหนังสังเคราะห์ DENIM TEXTURE DESIGN นอกจากนี้ตัวคอนโซลหน้าดีไซน์แบบ DOUBLE LAYER พร้อมพื้นที่ช่องเก็บของรอบคัน และที่วางแก้ว
เบาะนั่งหุ้มด้วยวัสดุหนังสังเคราะห์ DENIM TEXTURE DESIGN กับผิวสัมผัสที่สบายและดูแลรักษาง่ายพร้อมเส้นสายการตกแต่งภายในโทนสีฟ้า ENERGETIC BLUE STRIP ที่รับกับแผงคอนโซลหน้าเช่นกัน นอกจากนี้ตัวเบาะยังเสริมเทคโนโลยี Zero-G Seats เพื่อรองรับสรีระของผู้นั่ง กับความสามารถในกระจายน้ำหนัก ทำให้นั่งสบายตลอดเส้นทาง
เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง และเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับ 4 ทิศทาง ขณะที่เบาะนั่งด้านหลังพนักพิงพับได้ 60:40 ซึ่งจะช่วยให้สามารถขยายพื้นที่บรรจุสัมภาระสูงสุดถึง 1,367 ลิตร
หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว (Digital Multi-function Display) และหน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว รองรับระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธ รวมถึงรองรับการเชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay และสมาร์ทโฟนระบบ Android พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB TYPE-A และ TYPE- C, ลำโพง 6 จุด, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนัง ปรับ 4 ทิศทาง
นอกจากนี้ยังมาพร้อมกระจกมองหลังแบบตัดแสงอัตโนมัติ, ระบบปรับอากาศแบบดิจิตัล พร้อมระบบกรองอากาศ PM 2.5, ระบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Smart key) พร้อมปุ่ม Push Start เป็นต้น
E- PERFORMANCE: สเตชั่นแวกอนอีวีแนวใหม่ที่มอบประสบการณ์การขับขี่อันสะดวกสบาย และเหนือระดับ
เต็มประสิทธิภาพทุกการเดินทางด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด กับแพลตฟอร์ม SAIC E1 THREE – ELECTRIC SYSTEM เริ่มจากขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าเจนเนอเรชั่นใหม่แบบ 8-LAYER HAIR PIN PERMANENT MAGNETIC SYNCHRONOUS MOTOR (PMSM) มอบพละกำลังสูงสุดที่ 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร
แบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอรอนฟอสเฟต (LFP) ความจุ 51 kWh ที่ได้รับการออกแบบให้มีน้ำหนักเบาลง 22% สามารถวิ่งในระยะทาง 412 กม* / ชาร์จ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC (NEW EUROPEAN DRIVING CYCLE พร้อมระบบ Liquid Cooling System ช่วยระบายความร้อนให้ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รวมถึงยังผ่านมาตรฐานความปลอดภัย IP67 ในการป้องกันน้ำและฝุ่น
ระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) 3 ระดับ ได้แก่ มาก ปานกลาง และน้อย
ช่วงล่างแบบ EURO TUNING SUSPENSION ที่ให้การทรงตัวที่ดี ผสานกับระบบช่วงล่างหน้าอิสระแมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโครง และระบบช่วงล่างด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม, ระบบพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พิเนียน ควบคุมด้วยไฟฟ้า (EPS) ที่ให้รัศมีวงเลี้ยว 5.65 เมตร หยุดรถอย่างมั่นคงด้วยดิสก์เบรกหน้าพร้อมช่องระบายความร้อน และดิสก์เบรกหลัง
COMFORTABLE CHARGING: ไปได้ทุกทิศทั่วไทย สะดวกสบายด้วยสถานีชาร์จที่ครอบคลุม
NEW MG ES มาพร้อมกับแบตเตอรี่เทคโนโลยีใหม่ที่ให้สมรรถนะและรองรับระบบการชาร์จ 2 รูปแบบทั้งแบบ Quick Charge และ Normal Charge เร็วขึ้น ให้ผู้ใช้งานสามารถเดินทางสะดวกสบายได้ทั่วประเทศ ด้วยความพร้อมของสถานีอัดประจุไฟฟ้าของเอ็มจี MG SUPER CHARGE ที่ติดตั้งแล้วกว่า 158 แห่งทั่วประเทศ
- ชาร์จแบบเร็ว Quick Charge ชาร์จไฟฟ้าจาก 0% – 80% ใช้เวลาประมาณ 40 นาที* ที่ความเร็วสูงสุด 87 kW
- ชาร์จแบบธรรมดา Normal Charge ผ่าน MG HOME CHARGER 0% – 100% ใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง 15 นาที* ที่ 6.6 kW รองรับการชาร์จสูงสุดที่ 11 kW
- รองรับระบบ V2L (Vehicle to Load) เปลี่ยนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้สามารถเป็นแหล่งจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ด้วยกำลังไฟสูงสุด 2,200 วัตต์
*ระยะเวลาในการชาร์จ ขึ้นอยู่กับระดับแบตเตอรี่คงเหลือและกำลังของเครื่องอัดประจุไฟฟ้า
SAFETY: ปลอดภัยและอุ่นใจ…สบายใจทุกการเดินทาง
NEW MG ES มาพร้อมระบบโครงสร้างตัวถังนิรภัย FSF (Full Space Frame) เอกสิทธิ์ที่ให้ประสิทธิภาพในการปกป้องผู้โดยสารสูงสุด
ควบคู่กับการติดตั้งระบบความปลอดภัยรอบคัน ด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐาน ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM พร้อมระบบ ADVANCED DRIVER ASSISTANCE SYSTEM (ADAS) รวม20 ระบบ ได้แก่
- ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake)
- ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold)
- ระบบป้องกันล้อล็อก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD
- ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist)
- ระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System)
- ระบบควบคุมเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control)
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)
- ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System)
- ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-beam control)
- ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal
- ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home Light)
- ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning) และระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane keep Assist)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนและช่วยควบคุมรถเมื่อออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping Assist)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning)
- จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX 2 จุด
- เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับพร้อมผ่อนแรงอัตโนมัติ
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย
- กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ
- สัญญาณเตือนระยะถอยหลัง
- ระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer
CONNECTION: สะดวกสบาย…ง่ายทุกการเชื่อมต่อ
NEW MG ES มาพร้อมกับระบบสั่งการอัจฉริยะ i-SMART ในรูปแบบ Lite version ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์และอำนวยความสะดวกสบายของผู้ใช้งานไปอีกขั้น ให้เข้าถึงระบบการใช้งานรถไฟฟ้าเพียงปลายนิ้วสัมผัส
SMART CHECK (ระบบตรวจเช็คอัจฉริยะ)
- ระบบตรวจสอบสถานะรถยนต์
- ระบบสั่งการ และระบบค้นหารถ Find My Car
- ระบบเตือนความผิดปกติของรถยนต์
- ระบบขอบเขตอิเล็กทรอนิกส์
- ระบบช่วยค้นหาศูนย์บริการ นัดหมาย และบันทึกการดูแลรักษารถยนต์ตามระยะ
- ระบบตรวจสอบสถานะแบตเตอรี่ การชาร์จ และสถานีชาร์จ
SMART COMMAND (ระบบสั่งการอัจฉริยะ)
- กุญแจดิจิตอล
- ระบบควบคุมการทำงานของระบบปรับอากาศผ่านทางสมาร์ทโฟน
- ระบบเลขาส่วนตัว MG Call Centre
- ระบบโทรออก – รับสายกรณีฉุกเฉิน Emergency Call
- ระบบสั่งการชาร์จ สถานี MG SUPER CHARGE ผ่านทางสมาร์ทโฟน
NEW MG ES รถสเตชั่นแวกอนขุมพลังไฟฟ้าที่โดดเด่นทั้งรูปลักษณ์พรีเมียมไปอีกขั้น รองรับฟีเจอร์สมัยใหม่ที่ให้มากกว่าแค่ความสะดวกสบาย ระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ที่ครอบคลุมการเดินทางที่กลากหลายทั้งการเดินทางทำงานในเมือง จนถึงสันทนาการนอกเมืองที่สามารถรองการเดินทางได้ในระยะทางถึง 412 กม / ชาร์จ 1 ครั้ง และอื่น ๆ อีกมากมาย จึงเป็นรถยนต์ไฟฟ้าอเนกประสงค์ที่ไม่ควรมองข้าม