สมาคมการค้าอาหารอนาคตไทยได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568 แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยชี้ว่าได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในตลาดโลก และกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรและผู้ผลิตตลอดห่วงโซ่มูลค่า.
แถลงการณ์ระบุว่า ตั้งแต่ต้นปี 2568 ค่าเงินบาทได้แข็งค่าขึ้นกว่า 7% ขณะที่สกุลเงินของประเทศคู่แข่งสำคัญ เช่น จีน, อินเดีย, เวียดนาม และสิงคโปร์ กลับอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ. สถานการณ์ดังกล่าวทำให้สินค้ากลุ่มอาหารอนาคตของไทยซึ่งประกอบด้วย อาหารฟังก์ชัน, อาหารสำหรับผู้สูงอายุ, อาหารอินทรีย์ และโปรตีนทางเลือก มีต้นทุนสูงกว่าคู่แข่ง และอาจทำให้ผู้ซื้อในต่างประเทศหันไปหาสินค้าจากประเทศที่มีต้นทุนต่ำกว่า.
สมาคมฯ ได้ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้าง โดย
- ผู้ประกอบการและผู้ส่งออก อาจสูญเสียคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเนื่องจากไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้. นอกจากนี้ รายได้ที่ลดลงอาจทำให้การลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีต้องชะลอตัวลง.
- เกษตรกรและผู้ผลิตวัตถุดิบ จะได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ลดลง ซึ่งจะส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรที่เกี่ยวข้องปรับตัวลดลงตามไปด้วย.
เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว สมาคมการค้าอาหารอนาคตไทยได้เรียกร้องให้รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยเร่งดำเนินมาตรการที่เป็นรูปธรรม โดยมีข้อเสนอแนะ 4 ข้อหลัก ได้แก่:
- ดูแลเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยน ให้อยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน โดยต้องดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้ถูกมองว่าเป็นการบิดเบือนค่าเงินตามกฎของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ.
- สนับสนุนผู้ประกอบการส่งออก ผ่านการออกมาตรการช่วยเหลือ เช่น เงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำ และจัดตั้งกองทุนพิเศษสำหรับการลงทุนด้านวิจัยและเทคโนโลยี
- ส่งเสริมความเข้มแข็งของเกษตรกร โดยผลักดันนโยบายเชื่อมโยงเกษตรกรเข้ากับห่วงโซ่การผลิตอาหารอนาคตโดยตรง.
- เร่งเจรจาการค้าและความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อเปิดตลาดใหม่และสร้างการรับรู้ให้แก่ผลิตภัณฑ์อาหารอนาคตของไทย.
สมาคมฯ ย้ำว่า สถานการณ์ค่าเงินบาทแข็งค่าถือเป็นวาระเร่งด่วน หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที อาจทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบในการแข่งขัน และพลาดโอกาสในการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางอาหารอนาคตของภูมิภาค.