สหรัฐฯ ปรับโครงสร้างกระทรวงการต่างประเทศ ปลดเจ้าหน้าที่ภายในกว่า 1,300 คน ท่ามกลางสงครามยูเครน-กาซา-ตะวันออกกลาง นักวิจารณ์หวั่นกระทบอิทธิพลโลก
ท่ามกลางวิกฤตระหว่างประเทศที่ทวีความรุนแรง รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เริ่มมาตรการปรับลดบุคลากรครั้งใหญ่ในกระทรวงการต่างประเทศ โดยในวันที่ 11 กรกฎาคม 2568 มีการปลดเจ้าหน้าที่ในประเทศมากถึง 1,353 คน แบ่งเป็นข้าราชการพลเรือน 1,107 คน และเจ้าหน้าที่การทูต 246 คน แม้มาตรการดังกล่าวจะมีเป้าหมายในการตัดลดหน่วยงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับภารกิจหลัก แต่ก็ถูกตั้งคำถามในช่วงที่สหรัฐฯ ต้องรับมือกับสงครามรัสเซีย-ยูเครน ความขัดแย้งในกาซา และวิกฤตตะวันออกกลาง
วุฒิสมาชิกทิม เคน จากพรรคเดโมแครตออกมาแสดงความกังวลว่า การลดบุคลากรทางการทูตในช่วงเวลานี้เป็นการบั่นทอนขีดความสามารถของสหรัฐฯ ในการรับมือกับภัยคุกคามระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเมื่อจีนกำลังขยายอิทธิพลผ่านการทูตและเครือข่ายฐานทัพ รัสเซียยังคงเดินหน้ารุกรานเพื่อนบ้าน และภูมิภาคตะวันออกกลางเสี่ยงเผชิญความขัดแย้งครั้งใหม่ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นขณะอเมริกากำลังลดกำลังทูตของตนเอง
เอกสารภายในกระทรวงระบุว่า การปรับโครงสร้างครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ของทรัมป์ ที่มุ่งลดขนาดระบบราชการและควบคุมงบประมาณ อย่างไรก็ตาม อดีตนักการทูตและผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเตือนว่า การลดทอนศักยภาพทางการทูตในระดับนี้จะเปิดช่องให้คู่แข่งของสหรัฐฯ แทรกบทบาทในเวทีโลกได้มากขึ้นในอนาคต