วันที่ 16 มิถุนายน 2568 ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) กล่าวถึงบรรยากาศการประชุมที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชาว่า การประชุมดังกล่าวถือว่าราบรื่นที่สุดตั้งแต่ตนเคยประชุมมา เพราะปกติจะทะเลาะ อัดกันหนักกว่านี้ ซึ่งผลการประชุมนี้ถือว่าประสบความสำเร็จในแง่ของด้านเทคนิค และการประนีประนอม
พร้อมอธิบายขั้นตอนการทำงานของคณะ JBC ว่าทั้งหมดมีห้าขั้นตอน 2 ระยะ ในระยะที่ 1 ขั้นตอนแรก คือการสอบหาหลักเขตที่ปักไว้สมัยรัชกาลที่ 6 ประมาณปี พ.ศ. 2462-2463 ทั้งหมด 74 หลัก ได้รับการเห็นชอบในปี 2561 ไปแล้ว 45 หลัก อีก 29 หลัก ทั้งสองรัฐบาลยังเห็นต่างกัน
ขณะที่การทำงานอีกระยะหนึ่ง คือการทำแผนที่จากถ่ายภาพทางอากาศ เนื่องจากกัมพูชาต้องการให้หาหลักเขตเก่าที่ 6 แต่ไทยมองว่าไม่เพียงพอ เพราะต้องการให้ดำเนินการคล้ายกับประเทศมาเลเซีย ให้เห็นเขตแดนที่ชัดเจนขึ้นเพื่อปักหลักเขตแดนเพิ่มเติม จากนั้น เมื่อได้แผนที่จากภาพถ่ายอากาศแล้วทั้งสองฝ่ายต้องมาพูดคุยกันว่าจะเดินสำรวจเพื่อที่จะปักปันเขตแดนในแนวใด หากเห็นพื้นที่ต่างกัน ก็ต้องเดินสำรวจทั้ง 2 แนวทาง เป็นทำเส้นทางเป็นคู่มือให้เจ้าหน้าที่ได้ทำงาน จากนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานเห็นพ้องตรงกันในพื้นที่ ก็นำข้อมูลกลับมาประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาเห็นชอบในแผนที่ฉบับใหม่ โดยไม่ต้องใช้แผนที่เดิมจากฝรั่งเศส
โดยผลการประชุมวานนี้ประธานในที่ประชุมของทั้งสองฝ่ายเห็นชอบในหลักเขตแดน 45 จุด ในการประชุมของคณะอนุกรรมาธิการด้านเทคนิค (JTSC) ก่อนหน้านี้ รวมทั้งเห็นในการปฏิบัติงานในการใช้อากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน ในการสร้าง Photo Map โดยใช้ระบบไรด้าสแกน (LiDAR Scan : Light Detection and Ranging) อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ติดปัญหาว่าใครจะทำ จะจ่ายเงิน ซึ่งตามหลักการปฏิบัติทั่วไป คือการช่วยกันจ่ายคนละครึ่ง อีกทั้งการร่วมปฎิบัติงานกับกัมพูชามีความละเอียดอ่อนว่าใครจะเป็นฝ่ายบิน หรือดำเนินการบนเครื่องบินอย่างไร
นอกจากนี้ กัมพูชายังเสนอให้สำรวจหลักแดนอื่นนอกจาก 45 หลัก แต่คณะกรรมาธิการของไทย ยังเห็นว่าตอนนี้ยังไม่มีคู่มือการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่ รวมถึงการทำวานต้องมี Photo Map ก่อน เพราะมีความกังวลถึงความปลอดภัย และวัตถุระเบิดในพื้นที่
นายประศาสน์ อธิบายเพิ่มถึงการประชุมที่มีเนื้อหาละเอียดอ่อน โดยจะเป็นการประชุมกลุ่มเล็ก ซึ่งข่าววาระการประชุมที่มีหลุดออกมา คือวาระก่อนการประชุมกลุ่มเล็กของทั้ง 2 ฝ่าย พร้อมย้ำว่าการทำงานของคณะ JBC คือการทำให้เห็นเขตแดนอย่างชัดเจน โดยยกตัวอย่างของประเทศมาเลเซียที่ใช้เวลานานกว่า 12 ปีกับเขตแดน 556 กิโลเมตร โดยที่ไม่มีปัญหาของการเมืองเข้ามาแทรกแซง แต่กับไทยยังเรียกได้ว่ายังไม่ถึงขั้นตั้งไข่ ไม่รู้ว่าจะสำเร็จได้เมื่อไหร่ อาจจะนาน 15-20 ปีในด้านเทคนิค ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง
แต่ผู้สื่อข่าวได้ถามถึงความสับสนในการนำสัดส่วนของแผนที่ 1:200,000 และ 1:50,000 เข้าการประชุมนั้น นายประศาสน์ กล่าวว่า ตามข่าวที่ว่าตนไปเห็นชอบแผนที่ 1:200,000 ของยืนยันว่าไม่มีการพูดคุยกันเลย ซึ่งแผนที่ใหม่นี้เป็นการทำร่วมกันของทั้งสองฝ่ายไม่มีการเกี่ยวข้องกับทั้งสองรูปแบบ อย่างไรก็ตามแผนที่ใหม่ ที่จะทำร่วมกันใหม่จะเป็นอาจเป็น 1:50,000 เพราะเป็นแผนที่ทางยุทธการมีความละเอียดมากอยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า กัมพูชาได้แจ้งเรื่อง 4 พื้นที่ข้อพิพาทในที่ประชุม และไทยจะมีโอกาสเสนอเข้าหารือในระดับทวิภาคีต่อไปหรือไม่ นายประศาสน์ ระบุว่า เรื่อง 4 พื้นที่พิพาท ทางกัมพูชาได้รับนโยบายจากนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรี กัมพูชา ว่าไม่ให้นำเข้าที่ประชุมเลย ซึ่งตนเสียดายที่ไม่นำมาเจรจา เพราะในอดีตเคยมีบุคลากรเข้าไปตรวจสอบพื้นที่ เพื่อที่จะหาแนวทางไม่ให้เกิดการบังคับและกำหนดมาตรการในการอยู่ร่วมร่วมกัน ซึ่งก่อนการเข้าร่วมประชุมชุดใหญ่ ตนก็ถามย้ำไปแล้วว่าจะนำเรื่องดังกล่าวประชุมด้วยหรือไม่ ซึ่งฝั่งกัมพูชาก็ยืนยันว่าจะไม่นำเข้าประชุมเนื่องจากได้รับคำสั่งอย่างชัดเจน
ด้านนายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กล่าวว่าตามข้อเท็จจริงทราบกันดีแล้วว่าฝ่ายกัมพูชานำประเด็น 4 พื้นที่พิพาทไปสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) กต.ยังไม่เห็นรายละเอียดคำร้องของกัมพูชาว่ามีการฟ้องร้องเกี่ยวกับเรื่องอะไร และใช้ฐานอำนาจอะไรมาฟ้อง ซึ่งทางเราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ มีทีมรับมือ และได้ศึกษาประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องทุกเซนาริโอ หรือทุกความเป็นไปได้ทางกฎหมายที่จะเกิดขึ้น และมีที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศที่มีชื่อเสียงระดับโลกเป็นที่ปรึกษาให้กับเรา
ทั้งนี้การจะนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาศาลโลก ทั้งสองฝ่ายต้องยอมรับเขตอำนาจศาล ซึ่งไทยชัดเจนว่าไม่ยอมรับอำนาจของศาลโลกตั้งแต่ปี 2503 เช่นเดียวกับอีก 118 ประเทศ เราจึงต้องพิจารณากลไกการแก้ปัญหาข้อพิพาทต่าง ๆ อย่างถี่ถ้วน รวมถึงนัยยะของอธิปไตยต่อประเทศ
นายเบญจมินทร์ ยอมรับว่าการที่กัมพูชาร้องต่อศาลโลกเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย โดยปกติการจะไปศาลโลกได้ทั้งสองฝ่ายจะต้องมาตีกรอบ ตกลงร่วมกัน ไม่เหมือนกับการที่คนสองคนขึ้นศาลปกติแต่ประเด็นนี้กัมพูชากลับเสนอเรื่องต่อสาธารณชนมากกว่าจะมาพูดกับรัฐบาลไทย จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายอีกซ้ำสอง เป็นการปิดโอกาสที่ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันอย่างเปิดอก
สำหรับ MOU 2543 เป็นสนธิสัญญาระหว่างไทยกับกัมพูชา เกี่ยวกับเรื่องการปักปันเขตแดน ในข้อ 8 กำหนดไว้ว่า หากมีปัญหา หรือการตีความ หรือการบังคับใช้ MOU ให้ทั้งสองฝ่ายปรึกษาหารือหรือเจรจากันก่อน ขณะที่กฎบัตรสหประชาชาติ เน้นให้คู่กรณีได้พูดคุยกันก่อน และยังมีกลไกอื่น ๆ อีกมากก่อนที่จะนำเรื่องไปศาลโลก ทั้งนี้หากดูข้อเท็จจริงกัมพูชายังไม่เคยพูดคุยเรื่อง 4 พื้นที่ข้อพิพาทกับไทยเลย พร้อมกล่าวทิ้งท้าย เรามีกลไกทวิภาคีที่มีประสิทธิภาพทั้ง JBC RBC และ GBC จึงขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชากลับมาใช้กลไกที่มีอยู่
ซึ่งวันนี้กระทรวงการต่างประเทศ จะมีการจัดสรุปการประชุมให้กับคณะทูตในเวลา 15:30 น. เพื่อการให้ข้อมูล ข้อเท็จจริงว่าอะไรเกิดขึ้น ทั้งนโยบายสันติที่ไทยดำเนินการมาโดยตลอด และแนวทางที่ไทยจะใช้ต่อ