สถานการณ์ของสงครามการค้าที่เกิดขึ้นภายหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ได้ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้หลายประเทศโดนภาษีกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะจีน ที่จะถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอีก 34% รวมกับของเดิมที่เคยถูกประกาศเก็บภาษีไปก่อนหน้านี้ ตั้งแต่เดือน ก.พ. 2568 ที่ผ่านมาอีก 20% ทำให้จีนจะเผชิญภาษีนำเข้าถึง 54%
ซึ่งภายหลังจากที่ได้มีการประกาศอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ทำให้จีนได้ตอบโต้มาตรการดังกล่าว โดยประกาศปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน ในอัตราเดียวกันคือ 34%
แต่การเจรจาระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ยังคงไม่เกิดขึ้น โดนัลด์ ทรัมป์ยังคงเดินหน้าประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีก 50% รวมเป็น 104% และแน่นอน ทางจีนก็ได้ตอบโต้ทันควัน โดยประกาศปรับขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ ในอัตราเดียวกัน คือ 50% รวมเป็น 84%
โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศตอบโต้อีกครั้งเมื่อคืนที่ผ่านมา โดยจะเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 125 เปอร์เซ็นต์ โดยกล่าวหาว่าปักกิ่ง “ไม่เคารพ” หลังจากที่จีนตอบโต้ด้วยการกล่าวว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ สูงถึง 84 เปอร์เซ็นต์
ซึ่งเมื่อวันพุธที่ผ่านมา หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน ได้ออกมาเปิดเผยท่าทีของจีนที่ชัดเจนว่า สหรัฐฯ กระทำการละเมิดต่อจีน ด้วยการจัดเก็บภาษี และเป็นการกลั่นแกล้งกัน และจีน ก็พร้อมจะสู้จนถึงที่สุด
ทำให้หลายฝ่ายกังวลต่อท่าทีของทั้งสองประเทศที่กำลังเผชิญหน้ากันในสงครามการค้าอย่างดุเดือด ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างทั้งสองประเทศ ที่มีมูลค่ากว่า 4.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามการคาดการณ์ขององค์การการค้าโลก
ยังไม่ได้เจรจากับจีน
ทางด้านของนายโฮเวิร์ด ลุตนิค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยว่า ในขณะนี้ ยังไม่ได้มีการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของจีนเกี่ยวกับภาษีศุลกากรที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับนายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ ซึ่งระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คาดว่า จะได้มีการเปิดการเจรจากพูดคุยกับ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน
