วันที่ 8 เมษายน 2568 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมมาตรการรับมือกับนโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกา ที่มีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธานว่ารัฐบาลได้ติดตามมาอย่างต่อเนื่องหลายเดือน และได้มีการเตรียมการไว้แล้วเบื้องต้น และเห็นถึงปัญหาที่แท้จริงของสหรัฐฯ คือต้องการแก้ไขปัญหาเสียดุลการค้า ดึงฐานการผลิตกลับเข้าสหรัฐฯ
ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลจะต้องทำต่อจากนี้ คือพิจารณาว่าจะทำอย่างไรในการแก้ไขปัญหาภาษี ที่ประเทศไทยจะต้องได้รับประโยชน์ และขอให้มั่นใจว่าวิธีการแก้ไขปัญหานี้จะเป็นผลดีของทั้งสองฝ่าย เป็นการแก้ไขปัญหาที่ยกระดับการทำงานและการผลิตของไทย ยอมรับแม้ว่าจะเป็นวิกฤติที่น่าหนักใจแต่ก็ถือว่ายังมีโอกาสในการยกระดับการค้าของไทยให้สูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง โดยไม่ได้เป็นการลดภาษีให้กับสหรัฐฯแต่จะทำให้สหรัฐฯขาดดุลการค้าไทยน้อยลงโดยคาดว่าจะต้องใช้ระยะเวลากว่า 10 ปีในการปรับสมดุลการค้าระหว่างสองประเทศ โดยปัจจุบันไทยมีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯมากถึง 4.6 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี โดยมีแนวทาง 5 แผนงานดังนี้
- นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯมากขึ้นโดยเน้นสินค้าที่ประเทศไทยมีความต้องการใช้ในประเทศ เช่น สินค้าเกษตร และเครื่องในสุกร รวมทั้งสินค้าพลังงาน เช่น ก๊าซธรรมชาติ ที่มีต้นทุนต่ำในสหรัฐ
- ลดหรือยกเว้นภาษีให้กับสินค้าสหรัฐฯที่ไทยเก็บภาษีได้ไม่สูงนัก โดยมีการจัดเก็บรายได้ต่อปีไม่มากนักอยู่แล้ว กว่า 100 รายการ
- ยกเลิกมาตรการที่เป็นมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non tariff barrier) เพื่ออำนวยความสะดวกการค้าสหรัฐฯมากขึ้น
- การให้ความสำคัญกับการคัดถิ่นกำเนิดสินค้าที่มาใช้ไทยเป็นแหล่งกำเนิดสินค้า เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้าจากไทยและส่งออกไปยังสหรัฐฯ
- การสนับสนุนภาคเอกชนไทยที่มีศักยภาพให้ไปลงทุนในสหรัฐฯมากขึ้น เช่น ภาคเกษตร ภาคพลังงาน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของสหรัฐฯที่สนับสนุนในเรื่องนี้
นายพิชัยระบุว่ามีรายละเอียดที่จะดำเนินการอีกมาก ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะเป็นผู้ทำรายละเอียดเพื่อเสนอให้คณะทำงานและคณะรัฐมนตรีพิจารณา นำไปสู่การเจรจาในระดับผู้แทนการค้าของทั้งสองประเทศ
ส่วนตนเองจะดูแลภาพรวมตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ำว่าจะต้องไม่ยอม ใครจะต้องได้รับผลประโยชน์สูงสุด ดำเนินการภายใต้จุดแข็งที่ประเทศไทยมี ทั้งนี้ยอมรับแม้เป็นปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข แต่จะไม่ดำเนินการทันที เพราะต้องมีการวางแผน และแนวทางการทำงานให้รอบคอบและเกิดผลสำเร็จมากที่สุด ส่วนจะเดินทางไปเมื่อไหร่ยังไม่สามารถตอบได้ แต่ตอนนี้ทางสหรัฐฯ รับรู้แล้วว่ารัฐบาลไทยกำลังเร่งดำเนินการ เพื่อให้ ทั้งสองประเทศ ได้ประโยชน์ร่วมกัน โดยหากมีความชัดเจนในเรื่องนี้จะเดินทางไปโดยเร็วที่สุด
“ตอนนี้เราเข้าใจว่าสหรัฐต้องการอะไร ดังนั้นจะต้อง ปรับ และหาแนวทางการแก้ไข มีหลากหลายแนวทาง ดังนั้นในช่วง10ปีต่อจากนี้จะต้องหาแนวทางให้ได้ว่าจะทำอย่างไร เพื่อให้เกิดสมดุลทางการค้าระหว่างสองฝ่ายเช่นเดียวกับเอกชนที่จะไปลงทุนในสหรัฐจะต้องเป็นบริษัทที่มีศักยภาพและสามารถสร้างดุลการค้าได้ อย่างมั่นคง”
สำหรับแผนการรองรับเศรษฐกิจในประเทศรัฐบาลได้เตรียมมาตรการในการรองรับ เช่น การเยีวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งจะมีการเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเหมือนกับที่ประเทศจีนเคยทำตอนที่เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ซึ่งตอนนั้นจีนมีการขยายเพดานหนี้สาธารณะ โดยหากมีความจำเป็นไทยอาจจะขยายได้จากระดับ 70% แต่ตอนนี้ตนเองได้แค่คิดเท่านั้นจะมีการขยายก็ต่อเมื่อมีความจำเป็นจริงๆ
ส่วนจะมีการจับมือกันในประเทศกลุ่มอาเซียนไปเจรจากับสหรัฐหรือไม่นั้นนายพิชัยระบุว่า แต่ละประเทศก็มีจุดแข็งหรือจุดอ่อนที่แตกต่างกัน หรืออาจจะเหมือนกัน จะไปเจรจาหรือพูดคุยพร้อมกันไม่ได้
เมื่อถามว่าประชาชนจะสามารถพึ่งรัฐบาลชุดนี้ได้หรือไม่ นายพิชัย ย้ำว่าหากไม่พึ่งรัฐบาลแล้วจะไปพึ่งใคร ขอให้ประชาชนมีความเชื่อมั่น รัฐบาลจะทำงานเรื่องนี้อย่างเต็มที่