นายสกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เปิดเผยในรายการ “Meet the Press” ทางสถานี NBC ว่า ภายหลังจากที่สหรัฐฯ ได้มีการจะทำการปรับขึ้นภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากประเทศต่าง ๆ ไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น
ในขณะนี้ มีประเทศต่าง ๆ มากกว่า 50ประเทศได้ติดต่อเพื่อขอเข้าหารือกับรัฐบาลสหรัฐฯ และโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เพื่อขอให้ลดภาษีศุลกากร หรือ แก้ไขปัญหาหรืออุปสรรคในการค้า ซึ่งการเจรจานั้น อาจจะต้องใช้เวลาตั้งแต่ไม่กี่วัน ไปจนถึงนานเป็นสัปดาห์
แต่ สกอตต์ เบสเซนต์ ก็ยังไม่ได้เปิดเผยว่า มีประเทศใดบ้างที่ได้ติดต่อขอเจรจาในเรื่องของการลดหย่อนภาษีศุลกากรเหล่านี้
โดยท่าทีของสกอตต์ เบสเซนต์ นั้น สนับสนุนแนวทางการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ของสหรัฐฯ โดยมองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น จะเป็น “การปรับราคาขึ้นครั้งเดียว” ซึ่งจะแตกต่างจากการปรับราคาจากสภาวะเงินเฟ้อ และที่ผ่านมา เบสเซนต์ ยังได้ระบุว่า การเก็บภาษีศุลกากรนี้ จะทำให้สหรัฐฯ มีอำนาจต่อรองสูงสุด แม้ว่า จะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ บางส่วนก็ตาม แต่เบสเซนต์ยืนยันว่า อัตราการจ้างงานในสหรัฐฯ จะแข็งแกร่งขึ้น จึงไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจถดถอย
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่มีการประกาศการเก็บภาษีศุลกากรของทรัมป์ ส่งผลให้มูลค่าหุ้นในตลาดสหรัฐฯ ปรับตัวดิ่งลงอย่างหนัก รวมมูลกว่าเกือบ 6 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วและส่งผลกระทบต่อตลาดทั่วโลก และทำให้เกิดความกลัวว่าเศรษฐกิจจะถดถอย
ทางด้านของJPMorgan ได้แก้ไขคาดการณ์การเติบโตจากเพิ่มขึ้น 1.3 เปอร์เซ็นต์เป็นลดลง 0.3 เปอร์เซ็นต์