วันที่ 3 มีนาคม 2568 นายธีระ ทองวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงปัญหาชาวต่างชาติซื้ออาคารชุดแล้วนำไปปล่อยเช่าผ่าน AirBnB ยอมรับว่า กระทบความเชื่อมั่นต่อการขายอาคารชุดในกลุ่มตลาดคนไทยอยู่บ้าง ซึ่งในฐานะผู้พัฒนาอสังหาฯ ก็ได้เพิ่มความเข้มข้น โดยในช่วงการขายก็จะแจ้งลูกค้าอย่างชัดเจน เพื่อคัดกรองขั้นหนึ่ง และการป้องกัน เช่น การติดตั้งระบบสแกนนิ้วหรือสแกนใบหน้าสำหรับการอยู่อาศัยหรือใช้ส่วนกลาง ในส่วนนิติบุคคลจะต้องมีตรวจตราอย่างเข้มงวด ส่วนนิติบุคคลที่เป็นชางต่างชาติ ยอมรับว่าไม่เกี่ยวข้องกับผู้พัฒนาโครงการแล้ว เป็นเรื่องที่ผู้อยู่อาศัยจะต้องคอยป้องกัน
เช่นเดียวนายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด(มหาชน) ระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับปล่อยเช่าคอนโด เพราะกระทบกับธุรกิจโรงแรมและความเชื่อมั่นการลงทุน
สำหรับแนวคิดการเพิ่มสัดส่วนการถือครองอาคารชุดของต่างชาติจาก 49% ในปัจจุบันเป็น 75% นั้น โดย concept ก็เป็นเรื่องดีกับภาคอสังหาฯ แต่ก็ต้องมีมาตรการป้องกันควบคู่ รวมไปถึง ถือครองกรรมสิทธิ์การเช่าระยะยาวสำหรับบ้านเดี่ยว มองว่า 30 ปี +30 ปีหรือรวมเป็น 60 ปีก็เพียงพอแล้วในตอนนี้
อสังหาฯ หนุน ผ่อนปรน LTV จ่อยื่นนายกฯ มี.ค.นี้
ส่วนข้อเรียกร้องมาตรการ นายธีระ ทองวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) บอกว่า เร็วๆ นี้ 8 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย จะประชุมหารือเพื่อกำหนดมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ ก่อนทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีภายในเดือนมีนาคมนี้ โดยเฉพาะการผ่อนปรนเกณฑ์มาตรการ LTV ที่บังคับให้มีเงินดาวน์ 20-30% ในการขอสินเชื่อซื้อบ้านหลังที่ 2-3 เป็นต้นไปชั่วคราว เป็นระยะเวลา 2-3 ปี โดยเสนอให้มีผลกับบ้านทุกกลุ่มราคา สามารถกู้เพิ่มได้อีก 10% ของมูลค่าบ้าน จากที่กู้ได้ 100% อยู่แล้ว เพื่อใช้ในการตกแต่ง ต่อเติม ซ่อมแซ่ม รวมทั้งผ่อนปรนเงื่อนไขในการคิดเงินดำรงชีพของผู้กู้ โดยไม่ต้องตั้งเกณฑ์ไว้สูงมาก
สำหรับการพิจารณาอัตราความสามารถในการกู้ ซึ่งมองว่ามาตรการนี้จะได้ผลมากกว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ถึงแม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% แต่ส่งผลให้ในตลาดลดดอกเบี้ยเพียง 0.1% เท่านั้น
สำหรับภาพรวมมูลค่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทย นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด(มหาชน) ระบุว่า ปัจจุบันอยู่ที่ราว 350,000 ล้านบาท หดตัวจากในช่วง5-6 ปีก่อน ก่อนที่มีอยู่ 500,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องตลาดเล็กลง ทำให้ธุรกิจจะต้อง ใช้กลยุทธ์ไปลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพและการผลิตสินค้าวัสดุก่อสร้าง ซึ่งวิกฤติเศรษฐกิจโลกจากปัญหาการกีดกันการค้าก็กระทบไทยทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจรวมถึงภาคอสังหาลดลง และอาจฟื้นในบางช่วงแต่ก็กลับมาทรงตัวในระดับต่ำเช่นเดิม
ทั้งนี้ในปี 2567 ภาพรวมตลาดอสังหาฯ เผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจและอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของธนาคารที่ยังคงสูงอยู่ ทำให้พฤกษามีรายได้รวมอยู่ที่ 21,000 ล้านบาท มีกำไรสุทธิที่ 456 ล้านบาท
ปี 2568 ตั้งเป้ารายได้รวมไว้ที่ 23,500 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากรายได้จริงปีก่อนหน้าราว 12% วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 22 โครงการ มูลค่ารวม 23,400 ล้านบาท มีการเปิดตัวแบรนด์ระดับบนหลายโครงการ โดยมีสัดส่วนสินค้าในกลุ่มราคามากกว่า 7 ล้านบาท ราว 50% และโครงการที่ใกล้เมืองมากขึ้นและมีขนาดเล็กลง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบัน และปรับสัดส่วนโครงการแนวราบจาก ทาวน์เฮาส์ ต่อ บ้านเดี่ยว จาก 60:40 เป็น 50:50 ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในปัจจุบัน
