
ล่าสุดเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงเกี่ยวกับการบริหารงบประมาณของสำนักงานประกันสังคม โดยมี น.ส.รักชนก ศรีนอก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ ได้เปิดเผยข้อมูลที่ชี้ให้เห็นถึงความไม่โปร่งใสในการใช้งบประมาณของสำนักงานประกันสังคม
การเปิดเผยข้อมูลของ น.ส.รักชนก
น.ส.รักชนก ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งบประมาณของสำนักงานประกันสังคมในหลายประเด็น โดยเฉพาะการเดินทางไปดูงานต่างประเทศ ซึ่งพบว่ามีการใช้งบประมาณสูงเกินความจำเป็น เช่น การเดินทางไปดูงานที่ประเทศญี่ปุ่น 6 วัน 5 คืน สำหรับ 10 คน ใช้งบประมาณถึง 2.2 ล้านบาท โดยมีการซื้อตั๋วเครื่องบินชั้นเฟิร์สคลาส 2 ที่นั่ง ราคาที่นั่งละ 160,000 บาท และค่าที่พักคืนละ 16,000 บาท นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางภายในประเทศญี่ปุ่นคนละ 35,000 บาท ซึ่งถูกตั้งคำถามถึงความจำเป็นและความคุ้มค่า
นอกจากนี้ น.ส.รักชนก ยังได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับงบประมาณของสำนักงานประกันสังคมที่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยในปี พ.ศ. 2563 มีงบประมาณ 4,000 ล้านบาท ปี พ.ศ. 2564 เพิ่มเป็น 5,281 ล้านบาท ปี พ.ศ. 2565 เป็น 5,332 ล้านบาท และปี พ.ศ. 2566 เพิ่มขึ้นเป็น 6,614 ล้านบาท โดยเฉพาะงบยุทธศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 965 ล้านบาทในปี พ.ศ. 2563 เป็น 2,000 ล้านบาทในปี พ.ศ. 2564
อีกประเด็นที่ถูกวิจารณ์คือโครงการ Call Center 1506 ที่มีค่าใช้จ่ายหลัก 100 ล้านบาทต่อปี โดยเป็นค่าเช่าระบบ 50 ล้านบาท แต่กลับพบว่าผู้ใช้บริการมักพบปัญหาสายไม่ว่างและไม่ได้รับข้อมูลที่ต้องการ
การตอบโต้จากกระทรวงแรงงาน
หลังจากการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ออกมาชี้แจงว่า การใช้งบประมาณของสำนักงานประกันสังคมเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด โดยการเดินทางไปดูงานต่างประเทศของผู้บริหารระดับสูงมีสิทธิ์นั่งชั้นเฟิร์สคลาสตามระเบียบ และงบประชาสัมพันธ์ที่ใช้เพียง 3% ของงบประมาณทั้งหมด ซึ่งน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ที่ 10%
สำหรับกรณีการจัดทำปฏิทินที่ถูกวิจารณ์ว่าใช้งบประมาณกว่า 400 ล้านบาท นายพิพัฒน์ ชี้แจงว่าเป็นงบประมาณที่ใช้ในการจัดทำปฏิทินตลอดระยะเวลา 8 ปี ไม่ใช่ปีเดียว และการที่สายด่วน Call Center ไม่สามารถรับสายได้ในบางครั้ง เนื่องจากมีผู้ประกันตนจำนวนมากโทรเข้ามาพร้อมกัน
นอกจากนี้ นายภูมิพัฒน์ เหมือนจันทร์ โฆษกกระทรวงแรงงาน ยังได้กล่าวว่า การตรวจสอบของ น.ส.รักชนก อาจมีเจตนาไม่ดี เนื่องจากมีการนำข้อมูลในอดีตมาเชื่อมโยงกับปัจจุบัน ทำให้ประชาชนเกิดความสับสน และยืนยันว่าสำนักงานประกันสังคมมีความโปร่งใสในการใช้งบประมาณ
การเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม
ต่อมา น.ส.รักชนก ได้เปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันของสำนักงานประกันสังคม ที่มีงบประมาณสูงถึง 850 ล้านบาท โดยตั้งข้อสังเกตว่าการประมูลโครงการดังกล่าวมีความผิดปกติ เนื่องจากบริษัทที่เข้าร่วมประมูลเสนอราคาต่างกันเพียง 300,000 บาท และราคาที่เสนอใกล้เคียงกับราคากลางอย่างมาก ซึ่งอาจเข้าข่ายการฮั้วประมูล
นอกจากนี้ ยังพบว่าโครงการดังกล่าวส่งงานล่าช้ากว่า 193 วัน ซึ่งตามสัญญาควรถูกปรับเป็นเงิน 163 ล้านบาท แต่กลับไม่มีการปรับใดๆ และระบบที่พัฒนายังไม่สามารถใช้งานได้ สร้างความลำบากให้กับเจ้าหน้าที่
กรณีความขัดแย้งระหว่าง น.ส.รักชนก และนายพิพัฒน์ เกี่ยวกับการใช้งบประมาณของสำนักงานประกันสังคม สะท้อนถึงความจำเป็นในการตรวจสอบและความโปร่งใสในการบริหารงบประมาณ แม้ว่าทางกระทรวงแรงงานจะยืนยันว่าการใช้งบประมาณเป็นไปตามระเบียบ แต่ข้อสงสัยและข้อมูลที่ถูกเปิดเผยยังคงต้องการการตรวจสอบเพิ่มเติม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกันตนและประชาชนทั่วไป