นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม กล่าวถึงมาตรการรับซื้ออ้อยของโรงงานน้ำตาลต่างๆ หลังได้ทำข้อตกลงให้รับอ้อยเผาไม่เกิน 25% ต่อวัน โดยจากข้อมูลปัจจุบัน ไม่มีโรงงานน้ำตาลใดใน 58 แห่ง ที่รับอ้อยเผาเกินกว่าที่กำหนด หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 10% ถือว่าเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ ทำให้มีอ้อยสดเข้าหีบพุ่งขึ้นเป็น 90%
ส่วนการสร้างแรงจูงใจ ต้องทำ 3 ส่วน คือ
- การจ่ายเงินชดเชยให้เกษตรกรที่ตัดอ้อยสด ตันละ 120 บาท แต่มาตรการนี้สิ้นสุดลงไปแล้ว จึงได้เสนอมาตรการใหม่เข้าที่ประชุม ครม. เป็นการอุดหนุนทั้งอ้อยสดและใบอ้อย วงเงินตันละ 120 บาทเช่นกัน
- การสนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์ขนาดเล็กให้เกษตรกรเข้าไปตัดใบก่อนที่จะตัดอ้อยได้ โดยไม่ต้องเผา
- ได้พูดคุยกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน กำหนดการรับซื้อไฟฟ้าจากกากอ้อยและใบอ้อย ในราคาที่เหมาะสมและไม่แพงเกินไป ซึ่งเป็นราคาที่สร้างรายได้ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้ระบบเศรษฐกิจ
ส่วนที่มีรายงานข่าวยังพบเกษตรกรเผาอ้อย เป็นการท้าทายรัฐบาลก่อนปิดหีบอ้อยหรือไม่ นายเอกนัฏ มองว่า คงไม่ใช่การท้าทาย ยอมรับการเผาไร่อ้อย ยังมีอยู่บ้าง บางพื้นที่เป็นอุบัติเหตุ บางพื้นที่เครื่องจักรเข้าไม่ถึง ทำให้ต้องเผา และผู้รับเหมาตัดอ้อย ยังยึดติดกับวิธีเดิมๆ หากยังคงมาตรการนี้ไปจนถึงสิ้นฤดูกาล ช่วงปลายเดือนมีนาคม -เมษายน จะช่วยเซฟการเผาพื้นที่การเกษตร พื้นที่โล่งๆ ได้เป็นล้านไร่ แต่สิ่งที่ต้องเร่งคือ การวางระบบอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าหรือปลายเหตุเท่านั้น
