นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. แถลงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ครั้งที่ 6/2567 ในวันที่ 18 ธันวาคม 2567 คณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% ต่อปี โดยมีปัจจัยประกอบการตัดสินใจ ดังนี้
- เศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายจากการแข่งขันจากภายนอกที่รุนแรงขึ้น
- ความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะแนวนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลัก อย่าง สหรัฐ จีน แต่ยังสามารถขยายตัวได้ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้
- ภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวปรับดีขึ้น
- ภาคอุตสาหกรรมยังฟื้นตัวได้ช้าโดยเฉพาะกลุ่มที่ถูกกดดันจากความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง
ดังนั้น คณะกรรมการฯ เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ใกล้เคียงกับศักยภาพ เงินเฟ้อที่โน้มเข้าสู่กรอบเป้าหมาย และการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาวรวมทั้งรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงินในการรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่ปรับสูงขึ้น
ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2567 และ 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 0.4% และ 1.1% ตามลำดับ โดยอัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงานมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย
ส่วนสินเชื่อชะลอลงในช่วงที่ผ่านมา จากความต้องการลงทุนในบางสาขาธุรกิจที่ลดลง การชำระคืนหนี้ที่กู้ยืมไปในช่วงวิกฤตโควิด-19 และความเสี่ยงด้านเครดิตที่อยู่ในระดับสูง
นอกจากนั้น คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามแนวโน้มการขยายตัวของสินเชื่อและนัยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และผลของมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” ของภาครัฐที่จะช่วยบรรเทาภาระหนี้ให้กับกลุ่มเปราะบางอย่างตรงจุด
ขณะที่ กนง. คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 /2567 มีแนวโน้มขยายตัว 4% และขยายตัวที่ 2.7% และ 2.9% ในปี 2567 และ 2568 ตามลำดับ
สิ่งที่น่าสนใจ คือ ในปี 2568 กนง. คาดว่า GDP ไทยจะขยายตัวที่ 2.9% ซึ่ง สาเหตุหลักมาจากความไม่แน่นอนทางการเงิน จากนโยบายประเทศมหาอำนาจ จะเป็นตัวฉุดการส่งออกไทย และส่งผลให้ประเทศมหาอำนาจเองเผชิญปัญหางินเฟ้อ ซึ่งส่งผลต่อสมติฐานการคำนวน GDP และอัตราเงินเฟ้อของไทย
เมื่อถามว่า ในปี 2568 กนง. ควรจะต้องดำเนินนโยบายการเงินในลักษณะที่รัดกุม หรือ ผ่อนคลาย เลขาฯ กนง. บอกว่า อาจจะต้องดำเนินนโยบายการเงินแบบรัดกุม และคาดการณ์ว่า GDP ไทยขยายตัวที่ 2.9% เป็นลักษณะกราฟเบ้ต่ำ (ความหมาย คือ มีแนวโน้มอาจจะไม่ถึง 2.9%)