การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและแตกต่างจากระบบการเลือกตั้งในหลายประเทศ โดยมีสองกลไกสำคัญที่มีผลอย่างมากต่อผลการเลือกตั้ง นั่นคือ ระบบคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) และหลักการ Winner-Take-All
ระบบคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College)
ระบบคณะผู้เลือกตั้งเป็นวิธีการเลือกตั้งทางอ้อมที่ใช้ในสหรัฐอเมริกา แทนที่ประชาชนจะเลือกประธานาธิบดีโดยตรง พวกเขาจะเลือกคณะผู้เลือกตั้งที่จะเป็นตัวแทนไปเลือกประธานาธิบดีอีกทีหนึ่ง
คณะผู้เลือกตั้งมีจำนวนทั้งสิ้น 538 คน โดยแต่ละรัฐจะมีจำนวนผู้เลือกตั้งเท่ากับจำนวนสมาชิกสภาคองเกรสของรัฐนั้น (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบวกวุฒิสมาชิก) ผู้ชนะการเลือกตั้งต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งอย่างน้อย 270 เสียง
หลักการ Winner-Take-All
หลักการ Winner-Take-All เป็นวิธีการจัดสรรคะแนนเสียงของคณะผู้เลือกตั้งในแต่ละรัฐ โดยผู้สมัครที่ชนะคะแนนเสียงประชาชน (popular vote) ในรัฐนั้นๆ แม้จะชนะเพียงเล็กน้อย จะได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งของรัฐนั้นทั้งหมด
ตัวอย่างเช่น หากผู้สมัครคนหนึ่งชนะในรัฐแคลิฟอร์เนียด้วยคะแนนเสียง 50.1% เขาจะได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งของรัฐแคลิฟอร์เนียทั้งหมด 55 เสียง
อย่างไรก็ตาม มีความแตกต่างอยู่ใน 2 รัฐด้วยกันคือ Maine กับ Nebraska ที่ไม่ใช้หลักการนี้ แต่จะจัดสรรคะแนนของคณะผู้เลือกตั้งให้ตามคะแนนเสียงที่ผู้สมัครเป็นประธานาธิบดีได้รับจากพลเมืองของรัฐของตน (popular vote)
ผลกระทบต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
- ความสำคัญของรัฐสมรภูมิ (Swing States):
เนื่องจากระบบ Winner-Take-All รัฐที่มีการแข่งขันสูสีและมีคะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้งจำนวนมาก เช่น ฟลอริดา (29 เสียง) หรือเพนซิลเวเนีย (20 เสียง) จึงมีความสำคัญอย่างมากในการตัดสินผลการเลือกตั้ง - กลยุทธ์การหาเสียง:
ผู้สมัครมักจะทุ่มเททรัพยากรและเวลาในการหาเสียงในรัฐสมรภูมิมากกว่ารัฐที่มีแนวโน้มชัดเจนว่าจะสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง - ความแตกต่างระหว่างคะแนนเสียงประชาชนและคะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้ง:
เป็นไปได้ที่ผู้สมัครจะชนะคะแนนเสียงประชาชนทั่วประเทศ แต่แพ้คะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้ง ซึ่งเคยเกิดขึ้นหลายครั้งในประวัติศาสตร์ เช่น การเลือกตั้งปี 2016 - การกระจายอำนาจ:
ระบบนี้ช่วยให้รัฐที่มีประชากรน้อยยังคงมีความสำคัญในการเลือกตั้ง แม้จะมีคะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้งน้อยกว่ารัฐใหญ่ - ความซับซ้อนของการคาดการณ์ผล:
การทำนายผลการเลือกตั้งทำได้ยากขึ้น เนื่องจากต้องพิจารณาผลการเลือกตั้งในแต่ละรัฐแยกกัน
เส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในคณะผู้แทนการเลือกตั้ง
ผู้ที่ทำหน้าที่ลงคะแนนเสียงเรียกว่า “elector” ในระบบคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ของสหรัฐอเมริกานั้นมีขั้นตอนและเงื่อนไขเฉพาะ ดังนี้
การเลือกโดยพรรคการเมือง
Elector ส่วนใหญ่ได้รับการคัดเลือกโดยพรรคการเมืองในแต่ละรัฐ ซึ่งพรรคจะเป็นผู้เสนอรายชื่อ Elector ของตนเอง โดยมักจะเลือกจากบุคคลที่มีความจงรักภักดีต่อพรรคสูง
คุณสมบัติของ Elector
- ต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา
- มีอายุตามที่กฎหมายกำหนด (ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ)
- ไม่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับสหพันธรัฐ
จำนวน Elector
แต่ละรัฐจะมีจำนวน Elector ไม่เท่ากัน โดยขึ้นอยู่กับจำนวนประชากรของรัฐนั้น ๆ จำนวน Elector จะเท่ากับจำนวนสมาชิกวุฒิสภา (2 คนต่อรัฐ) บวกกับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของรัฐนั้นในสภา Congress
หากคุณต้องการมีตำแหน่งเป็น Elector ของพรรค คุณจะต้อง เข้าร่วมกิจกรรมของพรรคการเมืองในระดับท้องถิ่นและระดับรัฐอย่างสม่ำเสมอ แสดงความจงรักภักดีและการสนับสนุนพรรคอย่างต่อเนื่อง มีการสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์กับผู้นำพรรคในระดับต่างๆ และแสดงความสนใจในการเป็น Elector ต่อผู้นำพรรค
หลังจากนั้น ก็จะต้องลุ้นว่า คุณจะได้เข้าร่วมกระบวนการคัดเลือกของพรรค ซึ่งอาจรวมถึงการลงคะแนนเสียงในที่ประชุมพรรคระดับรัฐ
สำคัญที่สุดคือ ต้องเข้าใจว่าการเป็น Elector เป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญทางการเมืองสูง และมักจะถูกมอบให้กับบุคคลที่มีประวัติการทำงานให้กับพรรคมายาวนานและมีความน่าเชื่อถือสูง