การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2024 กำลังเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้าย โดยมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในสนามการเมืองหลังจากที่โจ ไบเดน ประธานาธิบดีปัจจุบันประกาศถอนตัวจากการแข่งขันและสนับสนุนให้กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีเป็นผู้สมัครแทน การแข่งขันในครั้งนี้จึงกลายเป็นการต่อสู้ระหว่างแฮร์ริสและโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดี ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างพยายามเสริมสร้างฐานเสียงในรัฐที่มีความสำคัญ
สถานการณ์ปัจจุบัน
ในการสำรวจความคิดเห็นล่าสุด แฮร์ริสมีคะแนนนำทรัมป์อยู่ประมาณ 3 จุด แต่ตัวเลขนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเธอจะชนะเลือกตั้ง เนื่องจากคะแนนในรัฐสมรภูมิ (swing states) ยังอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน เช่น ในรัฐเพนซิลเวเนีย มิชิแกน และวิสคอนซิน ซึ่งเป็นรัฐที่เคยเป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครตแต่กลับถูกทรัมป์พลิกกลับในปี 2016
ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดแสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายมีคะแนนนิยมที่ใกล้เคียงกัน โดยแฮร์ริสมีคะแนนนำเล็กน้อยที่ 48.5% เมื่อเทียบกับทรัมป์ที่ 45.7% ซึ่งหมายความว่าผลการเลือกตั้งยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในวินาทีสุดท้าย
ทั้งสองฝ่ายต่างพยายามดึงดูดผู้มีสิทธิเลือกตั้งในรัฐที่มีความสำคัญหรือ “รัฐแกว่ง” ซึ่งรวมถึงเพนซิลเวเนีย มิชิแกน วิสคอนซิน จอร์เจีย นอร์ทแคโรไลนา แอริโซนา และเนวาดา โดยการใช้กลยุทธ์การรณรงค์ที่มุ่งเน้นไปที่ประเด็นสำคัญ เช่น เศรษฐกิจ การย้ายถิ่นฐาน และนโยบายต่างประเทศ
ปัจจุบัน ชาวอเมริกันได้ใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงล่วงหน้าแล้วกว่า 18 ล้านคน ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงความสนใจในการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งเชื้อสายลาตินซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญสำหรับทั้งสองฝ่าย
กระแสตอบรับของทั้งสองแคนดิเดต
กระแสตอบรับจากประเทศต่าง ๆ ต่อผู้สมัครทั้งสองคนในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2024 คือ กมลา แฮร์ริส และโดนัลด์ ทรัมป์ มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยแต่ละฝ่ายได้รับการสนับสนุนและความเห็นที่หลากหลายจากกลุ่มต่าง ๆ ทั้งในสหรัฐฯ และต่างประเทศ
กระแสตอบรับต่อ กมลา แฮร์ริส
การสนับสนุนจากกลุ่มเทคโนโลยี: กมลา แฮร์ริสได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากผู้บริหารในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยเฉพาะในซิลิคอนแวลลีย์ ซึ่งมีการบริจาคและการสนับสนุนอย่างชัดเจนจากบุคคลสำคัญ เช่น เชอริล แซนด์เบิร์ก จาก Facebook และรีด แฮสติงส์ จาก Netflix การสนับสนุนนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในนโยบายที่มีความเข้าใจต่อเทคโนโลยีและการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต.
การตอบรับจากประชาชน: ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดแสดงให้เห็นว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนมากมองว่าความหลากหลายทางเชื้อชาติและเพศของแฮร์ริสเป็นจุดแข็ง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีแนวคิดก้าวหน้า ซึ่งมองว่าเธอเป็นตัวแทนของความหลากหลายและความก้าวหน้าในสังคม
การวิจารณ์จากฝ่ายตรงข้าม: อย่างไรก็ตาม แฮร์ริสยังต้องเผชิญกับการวิจารณ์จากฝ่ายตรงข้ามเกี่ยวกับการจัดการปัญหาการอพยพและนโยบายต่างประเทศ เช่น การสนับสนุนอิสราเอล ซึ่งอาจทำให้เธอสูญเสียคะแนนเสียงจากผู้มีแนวคิดฝ่ายซ้ายบางกลุ่ม
กระแสตอบรับต่อ โดนัลด์ ทรัมป์
ฐานเสียงที่แข็งแกร่ง: ทรัมป์ยังคงรักษาฐานเสียงที่แข็งแกร่งจากกลุ่มผู้มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม โดยเฉพาะในรัฐที่มีประชากรจำนวนมาก เช่น ฟลอริดา และเท็กซัส ซึ่งเขายังคงได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มองว่าการดำเนินนโยบายของเขาเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ
การตอบรับจากต่างประเทศ: ในขณะที่ทรัมป์ได้รับการตอบรับที่ดีจากบางกลุ่มในประเทศ แต่เขายังต้องเผชิญกับข้อวิจารณ์จากชุมชนระหว่างประเทศเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศของเขา เช่น การลดบทบาทของสหรัฐฯ ในองค์กรระหว่างประเทศและการใช้แนวทางที่เข้มงวดต่อผู้อพยพ
ความท้าทายทางกฎหมาย: ทรัมป์ยังต้องเผชิญกับปัญหาทางกฎหมายหลายประเด็น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง
โดยรวมแล้ว กระแสตอบรับต่อ กมลา แฮร์ริส และโดนัลด์ ทรัมป์ มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งสองฝ่ายมีฐานเสียงและกลุ่มสนับสนุนที่แข็งแกร่ง แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายและข้อวิจารณ์ที่แตกต่างกัน การแข่งขันระหว่างทั้งสองจึงไม่เพียงแต่จะกำหนดอนาคตทางการเมืองของสหรัฐฯ แต่ยังส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศในสายตาของโลกอีกด้วย.
ประเด็นที่ต้องจับตา
- เศรษฐกิจ: เศรษฐกิจยังคงเป็นประเด็นหลักที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ความสำคัญ โดยร้อยละ 81 ของผู้ลงคะแนนระบุว่าเศรษฐกิจจะมีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้งของพวกเขา3. แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจจะดูดี แต่ความรู้สึกของประชาชนเกี่ยวกับเศรษฐกิจในชีวิตประจำวันยังคงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณา
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เช่น อัตราการว่างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจจะมีผลกระทบต่อคะแนนนิยมของผู้สมัคร โดยเฉพาะในรัฐแกว่งที่ประชาชนยังไม่มีการตัดสินใจที่แน่นอน - นโยบายต่างประเทศ: สถานการณ์ในยูเครนและความสัมพันธ์กับจีนกำลังเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยทรัมป์เสนอแนวทางการเจรจาที่อาจทำให้เกิดความสงบในยูเครน ขณะที่แฮร์ริสเน้นย้ำถึงการสนับสนุนยูเครนและการรักษาความสัมพันธ์กับพันธมิตร
- ความมั่นคงภายในประเทศ: ประเด็นการควบคุมการอพยพและความปลอดภัยในประเทศยังคงเป็นหัวข้อที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ความสำคัญ โดยเฉพาะผู้สนับสนุนทรัมป์ที่มองว่าการควบคุมชายแดนเป็นเรื่องเร่งด่วน และในรัฐที่มีปัญหาการอพยพสูง
วิเคราะห์แนวโน้ม
การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะกำหนดอนาคตทางการเมืองของสหรัฐฯ แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลกด้วย นักลงทุนกำลังจับตามองว่าผลการเลือกตั้งจะส่งผลต่อแนวโน้มตลาดอย่างไร หากทรัมป์ชนะ พรรครีพับลิกันอาจมุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นภาคอุตสาหกรรมดั้งเดิม ในขณะที่หากแฮร์ริสชนะ แต่ไม่สามารถควบคุมเสียงข้างมากในรัฐสภาได้ นโยบายขนาดใหญ่จะถูกจำกัด ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนทางนโยบาย
ซึ่งผลโพลล์ล่าสุดเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2024 แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่าสนใจในช่วงโค้งสุดท้ายนี้ โดยผลโพลล์ล่าสุด ทรัมป์ ขึ้นนำในสามโพลล์ใหม่ ขณะที่ แฮร์ริส นำในสองโพลล์
ในการสำรวจของ Reuters/Ipsos, แฮร์ริสมีคะแนนนำเพียง 1% (44% ต่อ 43%) ในขณะที่ New York Times/Siena รายงานว่าแฮร์สมีคะแนนนำ 4% ในระดับชาติ แต่ทรัมป์นำ 13% ในฟลอริดา