คัดลอก URL แล้ว
“บิ๊กต่าย” เผย คนขับมีความผิดฐานประมาท รู้ว่ารถมีปัญหาแต่ฝืนขับต่อ

“บิ๊กต่าย” เผย คนขับมีความผิดฐานประมาท รู้ว่ารถมีปัญหาแต่ฝืนขับต่อ

วันที่ 2 ตุลาคม 2567 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แถลงข่าวความคืบหน้าคดีไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษานักเรียนโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จังหวัดอุทัยธานี โดยก่อนการแถลงข่าว พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ได้ขอความร่วมมือผู้ร่วมแถลงข่าวและสื่อมวลชน ยืนสงบนิ่งไว้อาลัย กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเวลา 1 นาที

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เปิดเผยว่า เมื่อคืนหลังจากนายสมาน จันทร์พุฒ คนขับรถบัสเข้ามอบตัว ที่สภ.วิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง ก่อนที่จะนำตัวมาดำเนินคดีที่สภ.คูคต จังหวัดปทุมธานี และขณะนี้ยังอยู่ในการควบคุมของตำรวจ โดยนายสมานให้การรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา ซึ่งตำรวจกำลังเร่งสอบสวนถึงองค์ประกอบความผิด รวมทั้งยังต้องสอบสวน และพิจารณาถึงความผิดของผู้ประกอบการด้วย

โดยเมื่อวานนี้ (1 ต.ค.) หลังเกิดเหตุ พยานในที่เกิดเหตุ ระบุว่า ได้ยินเสียงเหมือนยางล้อหน้าระเบิด จนทำให้รถเสียหลักชนกับรถที่ขับอยู่บริเวณนั้น ก่อนจะได้ไปชนแบริเออร์ สอดคล้องกับคำให้การของนายสมาน ที่อ้างว่า ได้ยินเสียงลูกสูบของรถดัง แต่ไม่ได้จอดดู และขับรถต่อ จนรถเสียหลักดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า คนขับรู้อยู่แล้วว่ารถมีปัญหา แต่ไม่หยุดรถอพยพผู้โดยสาร และตรวจสอบสภาพรถ จึงแสดงให้เห็นถึงความประมาทเลินเล่อที่ก่อให้เกิดความสูญญเสียร้ายแรง

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อหาคนขับรถคือ “ขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ และขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล แล้วไม่หยุดรถให้การช่วยเหลือ ไม่แสดงตัวและไม่แจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงาน เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 และพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43(4), 78, 157, 160 วรรคสอง ซึ่งหลังจากนี้หากผลการตรวจสอบพบความผิดเพิ่มเติมก็สามารถแจ้งข้อความหาเพิ่มเติมได้

ส่วนสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ยังต้องรอผลการตรวจพิสูจน์หลักฐานจากผู้เชี่ยวชาญก่อน แต่เบื้องต้นสันนิษฐานสาเหตุได้ว่า เกิดจากอุปกรณ์ส่วนควบบกพร่อง จนเกิดประกายไฟ และเป็นสาเหตุของเพลิงไหม้

ส่วนการตรวจรถบัสคันเกิดเหตุ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก ดำเนินการตรวจสภาพรถเรียบร้อยแล้ว แต่ยังต้องเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุเพิ่ม เช่น รอยล้อรถ และพยานหลักฐานอื่นอีกหลายอย่าง เพื่อประกอบในสำนวน โดยเฉพาะ GPS ของรถคันดังกล่าวว่า ขณะที่เกิดเหตุใช้ความเร็วเท่าไหร่

ส่วนการเปิดเผยถึงการพิสูจน์อัตลักษณ์ของผู้เสียชีวิต ขณะนี้ยืนยันได้แล้ว 23 ราย แต่เก็บดีเอ็นเอมาเทียบเคียงได้ 22 รายแล้ว ส่วนอีก 1 รายอยู่ระหว่างการรอครอบครัว มาเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอมาเทียบเคียง ซึ่งในวันนี้จะนำส่งร่าง ผู้เสียชีวิตทั้ง 22 ราย ไปยังจังหวัดอุทัยธานี โดย 1 ศพ จะใช้รถ 2 คัน แบ่งเป็น รถของมูลนิธิบรรจุร่างผู้เสียชีวิต และรถฉุกเฉิน สำหรับครอบครัว จัดเป็น 3-4 ขบวน โดยมีรถตำรวจนำทาง และปิดทาง ซึ่งเมื่อถึงที่จังหวัดอุทัยธานี จะมีผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานีรอรับ ก่อนจะส่งต่อร่างผู้เสียชีวิตให้กับครอบครัวไปบำเพ็ญกุศล ทั้งนี้ระหว่างที่ผ่านจุดเกิดเหตุ จะหยุดรถให้ครอบครัวได้ทำพิธีอัญเชิญดวงวิญญาณด้วย

ด้านนายเอกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า รถคันดังกล่าวตรวจสอบจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกเมื่อปี 2513 โดยมีการจดทะเบียนใหม่อีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2541 ที่มีการดำเนินการตามขั้นตอนของโครงการขนส่งทางบก มีการรับรองโดยวิศวกร ส่วนรายละเอียดว่าระหว่างทางว่ารถคันดังกล่าวมีการจดทะเบียนหรือไม่นั้น อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่ามีการจดทะเบียนที่ใด

นอกจากนี้รถคันดังกล่าวมีการต่อทะเบียนหรือต่ออายุภาษีเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 วันสิ้นอายุภาษี 30 มิถุนายน 2568 ทั้งนี้กรมฯ ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว การตรวจสอบประตูฉุกเฉินพบว่าเปิดได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าขณะเกิดเหตุประตูจะสามารถเปิดได้หรือไม่ เนื่องจากขณะที่ไปตรวจนั้นเป็นการตรวจหลังจากที่รถเกิดอุบัติเหตุไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ไม่พบค้อนทุบกระจกซึ่งเป็นอุปกรณ์นิรภัยที่ควรจะมีติดไว้ในรถ ส่วนกรณีที่อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยมีมากหรือน้อยต้องไปดูว่าทางกรมการขนส่งทางบกกำหนดมาตรฐานไว้อย่างไร ซึ่งในหลักเกณฑ์และระเบียบมีกำหนดไว้อยู่แล้วว่าอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยต้องจะมีอะไรบ้าง

พร้อมบอกว่าตัวรถไม่มีปัญหาแต่ตัวเครื่องยนต์มีการดัดแปลง ซึ่งการที่นำรถเข้าไปในอู่ที่มีการดัดแปลงนั้นอยากให้มองว่าไม่ใช่การดัดแปลงแต่เป็นการทำขึ้นมาใหม่ เบื้องต้นพบว่ามีถังก๊าซเชื้อเพลิง 11 ถัง แต่จากการตรวจสอบพบว่ามีการขออนุญาตติดตั้งไว้แค่ 6 ถังซึ่งจะต้องอยู่ในขั้นตอนการสืบสวนข้อเท็จจริง ขณะนี้พักใช้ใบอนุญาตผู้ประกอบการขนส่ง พักใช้ใบอนุญาตขับรถของผู้ขับรถ รวมถึงยกเลิกการขึ้นทะเบียนบุคลากรจัดการด้านความปลอดภัยในการขนส่งของบริษัทนี้เป็นที่เรียบร้อย

ซึ่งตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนดไว้นั้นบนถนนเส้นที่เหตุมีการจำกัดความเร็วให้รถวิ่งไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากการตรวจสอบเบื้องต้นรถคันดังกล่าวใช้ความเร็วอยู่ที่ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในประเด็นนี้รถคันดังกล่าวไม่ได้ใช้ความเร็วเกินที่กฎหมายกำหนด แต่ถึงอย่างไรจะต้องรอผลการตรวจสอบ GPS อย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง


ข่าวที่เกี่ยวข้อง