วันที่ 7 สิงหาคม 2567 เป็นวันสำคัญที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นบทสรุปของกระบวนการทางกฎหมายที่ดำเนินมาตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไว้พิจารณาวินิจฉัย เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2567
ศาลไม่เปิดไต่สวน แต่ใช้วิธีรวบรวมพยานหลักฐาน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้เปิดการไต่สวนตามที่พรรคก้าวไกลร้องขอ แต่เลือกใช้วิธีการรวบรวมพยานหลักฐานโดยให้ผู้เกี่ยวข้องยื่นคำชี้แจงแทน ซึ่งในส่วนของพรรคก้าวไกล ศาลได้มีคำสั่งให้ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา และมีการขยายระยะเวลาการยื่นคำชี้แจงถึง 3 ครั้ง รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 60 วัน
การแลกเปลี่ยนพยานหลักฐานและการยุติการไต่สวน
เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2567 ศาลได้ให้คู่กรณีแลกเปลี่ยนพยานหลักฐาน ก่อนที่จะมีการประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 17 กรกฎาคม ซึ่งที่ประชุมเห็นว่าคดีนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่มีพยานหลักฐานเพียงพอต่อการวินิจฉัยแล้ว จึงมีคำสั่งยุติการไต่สวน และให้โอกาสคู่กรณียื่นคำแถลงการณ์ปิดคดีภายในวันที่ 24 กรกฎาคม ก่อนที่จะนัดวินิจฉัยและอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 7 สิงหาคม เวลา 15.00 น.
ความเคลื่อนไหวในวันนัดอ่านคำวินิจฉัย
(6 สิงหาคม) ซึ่งเป็นวันก่อนการนัดอ่านคำวินิจฉัย บรรยากาศที่พรรคก้าวไกลเป็นไปอย่างคึกคัก โดยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของพรรคทยอยเดินทางมาร่วมประชุมด้วยสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่แกนนำคนสำคัญอย่าง นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร นายพริษฐ์ วัชรสินธุ และ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค ต่างก็มาร่วมประชุมด้วย ส่วนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค เดินทางมาถึงพรรคด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ก่อนจะขึ้นไปเป็นประธานการประชุม
นอกจากนี้ ยังมีการจัดเตรียมสถานที่เพื่อรองรับมวลชนที่จะมาร่วมฟังคำวินิจฉัยในวันพรุ่งนี้ โดยมีการติดป้ายข้อความ “ก้าวไกลไปต่อ” ขนาดใหญ่ไว้หน้าที่ทำการพรรค และมีสื่อมวลชนลงทะเบียนเข้ามาทำข่าวแล้วกว่า 80 สำนัก จำนวนกว่า 300 คน
คดียุบพรรคก้าวไกลได้ดำเนินมาตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา โดยศาลรัฐธรรมนูญได้รวบรวมพยานหลักฐานและคำชี้แจงจากผู้เกี่ยวข้อง ก่อนจะยุติการไต่สวนและนัดอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 7 สิงหาคม นี้ ซึ่งทางพรรคก้าวไกลได้เตรียมสถานที่ไว้รองรับมวลชน และมีสื่อมวลชนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ก่อนที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะเดินทางไปรับฟังคำวินิจฉัยที่ศาลรัฐธรรมนูญ ในเวลา 15.00 น. โดยจะไม่ให้สัมภาษณ์ที่ศาล แต่จะกลับมาแถลงที่พรรคภายหลังการอ่านคำวินิจฉัยแล้ว
