การค้าเนื้อสุนัขและแมวในประเทศเวียดนาม เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมานาน มีองค์กรพิทักษ์สัตว์ทั้งในประเทศและต่างประเทศรณรงค์เรียกร้องให้ยุติการค้าโหดร้ายนี้ โดยเผยถึงเหตุผลด้านจริยธรรม , สุขภาพ และความปลอดภัย
ถึงแม้ว่าในเวียดนามการขายและการบริโภคเนื้อสุนัขและแมวจะเคยถูกกฎหมาย แต่รัฐบาลเคยสั่งห้ามบริโภคแล้วในปี 2541 ก่อนที่จะมีการยกเลิกคำสั่งดังกล่าวในปี 2563 ต่อมาเมื่อช่วงเดือน กรกฎาคม 2566 ทางสภาแห่งชาติเวียดนาม ก็ได้มีการหารือถึงการยุติการค้าเนื้อสุนัขและแมวในกรุงฮานอยอีกครั้ง เพื่อให้เป็นเมืองปลอดการค้าเนื้อสุนัขและแมว
ล่าสุดมีรายงานว่า ทางกรุงฮานอยได้มีการออกคำสั่งเข้มงวดเกี่ยวกับการควบคุมการค้าเนื้อสุนัข และเนื้อแมวแล้ว พร้อมฟันบทลงโทษรุนแรงสำหรับผู้ค้าขายสุนัขและแมวผิดกฎหมาย ท่ามกลางการระบาดของโรคพิษสุนัขบ้าครั้งล่าสุดของเวียดนาม
ย้อนไปดูผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน โดย Four Paws องค์กรสวัสดิภาพสัตว์ระดับโลก ที่เปิดเผยเมื่อปี 2564 พบว่า 91% ของผู้ตอบแบบสอบถามในเวียดนาม สนับสนุนให้รัฐบาลสั่งห้ามค้าเนื้อสุนัขและแมว นอกจากนี้ความคิดเห็นของประชาชนอีก 95% ยังระบุอีกว่า การบริโภคเนื้อสุนัขและแมวไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมเวียดนาม และอยากให้มีการยุติการค้า
อีกทั้งด้าน Four Paws ยังเผยว่า ในแต่ละปีมีสุนัขและแมวจำนวนกว่าหลายล้านตัวที่ถูกจับ , ขนส่ง และฆ่าเพื่อนำไปบริโภคเนื้อในเวียดนาม โดยส่วนใหญ่ถูกจับจากชุมชน หรือจากการเร่ร่อนตามท้องถนน
นอกจากนี้ทาง Soi Dog อีกหนึ่งมูลนิธิที่ช่วยเหลือสุนัขและแมวจรจัด ยังเปิดเผยข้อมูลถึงการต่อต้านให้ยุติธุรกิจการค้าเนื้อสุนัขและแมวไว้ว่า รัฐบาลเวียดนามได้ทำการสุ่มทดสอบสุนัขหลายร้อยตัวในโรงเชือดและได้ทราบผลจากหน่วยป้องกันและควบคุมโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (US CDC) พบว่าสุนัขมากกว่า 3% มีผลทดสอบเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าเป็นบวก ซึ่งทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในธุรกิจการค้าเนื้อสุนัขและผู้บริโภคมีความเสี่ยงอีกด้วย
สำหรับผู้ที่บริโภคเนื้อสุนัขและเนื้อแมว จะมีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อจากโรคแบคทีเรีย และปรสิตที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เช่น โรคไฮดาติด , อหิวาตกโรค และโรคพิษสุนัขบ้าในมนุษย์โดยตรง
ขอขอบคุณที่มา : ST Foreign Desk FOUR PAWS มูลนิธิเพื่อสุนัขในซอย, ประเทศไทย (Soi Dog – in Thai)
