คัดลอก URL แล้ว
ท้ายคำพิพากษา จารึกคุณค่า “สนธิญาณ” ความภูมิใจแห่งคุณูปการ

ท้ายคำพิพากษา จารึกคุณค่า “สนธิญาณ” ความภูมิใจแห่งคุณูปการ

วันที่ 28 พฤษภาคม 2567 เป็นวันที่น่าจดจำสำหรับนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีกบฏ กปปส. ในฐานะแกนนำคนสำคัญของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย คำตัดสินในครั้งนี้จึงไม่ได้ส่งผลต่อเขาเพียงคนเดียว  แต่ยังเป็นการประเมินคุณค่าของสิ่งที่เขาได้ทุ่มเทและเสียสละเพื่อสังคมไทยมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา การอุทิศตนเพื่อส่วนรวม ของนายสนธิญาณ จึงเป็นประเด็นหลักที่ศาลให้ความสำคัญและนำมาพิจารณาในการกำหนดบทลงโทษ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างความเป็นธรรมให้สอดคล้องกับคุณูปการที่จำเลยมีต่อสังคม

“การกระทำของจำเลยไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายมาก ไม่เคยรับโทษมาก่อน ประกอบอาชีพเป็นสื่อมวลชน เห็นควรให้ประกอบอาชีพไปรับใช้สังคม การลงโทษจำคุกระยะสั้นไม่เกิดประโยชน์ แต่เพื่อให้หลาบจำ เห็นควรรอลงอาญา 2 ปี ปรับ 20,000 บาท” 

เพียงไม่กี่ประโยค ทว่ากลับแฝงนัยยะอันลึกซึ้ง คำวินิจฉัยของศาลเปรียบดั่งการประทับตราว่า สิ่งที่นายสนธิญาณ ได้ประกอบกรรมมานั้น เป็นประโยชน์ต่อสังคมเพียงใด  แม้จะพลั้งพลาดไปบ้าง แต่การพรากโอกาสในการสร้างสรรค์สังคมต่อไปนั้น คงไม่ใช่ทางออกที่เหมาะสมนัก

สนธิญาณ: เส้นทางชีวิตของนักสื่อฯ ผู้ไม่ยอมแพ้

ที่ผ่านมา นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม เป็นบุคคลที่มีบทบาทโดดเด่นในแวดวงสื่อมวลชนไทยมาอย่างยาวนาน เขาเริ่มต้นเส้นทางสายนี้ด้วยการเป็นนักข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ตั้งแต่ปี 2529 ก่อนจะค่อยๆ ก้าวขึ้นมาเป็นบรรณาธิการบริหาร และร่วมก่อตั้งสำนักข่าวไอเอ็นเอ็นในเวลาต่อมา

ด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างไกล นายสนธิญาณได้ขยายขอบเขตของสื่อไทยไปอีกขั้น ด้วยการเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเป็นรายแรกๆ ของประเทศ และยังเป็นผู้ริเริ่มการนำเอาเทคโนโลยี SMS มาใช้ในการรายงานข่าวสารแบบเรียลไทม์อีกด้วย ซึ่งเป็นการปฏิวัติรูปแบบของการเสนอข่าวในยุคนั้น

นอกจากนี้ ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ซึ่งหลายธุรกิจต้องพบกับความยากลำบาก นายสนธิญาณในฐานะผู้บริหารสำนักข่าวก็ยังสามารถนำพาองค์กรให้ผ่านพ้นช่วงเวลาอันหฤโหดนี้มาได้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถด้านการบริหารจัดการที่โดดเด่น 

ประสบการณ์อันยาวนานในแวดวงสื่อ ทำให้เขาได้เห็นปัญหาและข้อบกพร่องต่างๆ ของสังคมไทยมาโดยตลอด จึงไม่แปลกที่เขาจะตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางการเคลื่อนไหวทางการเมือง ด้วยการเป็นแกนนำของกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ 

แม้ว่าความพยายามครั้งนั้นจะไม่ประสบความสำเร็จ และนำมาสู่คดีความที่เขาต้องเผชิญในปัจจุบัน แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงอุดมการณ์ที่แน่วแน่และความกล้าหาญทางจริยธรรมของนายสนธิญาณ ในการยืนหยัดต่อสู้เพื่อสิ่งที่เขาเชื่อมั่น

ความโดดเด่นของนายสนธิญาณอีกด้านหนึ่งก็คือ ความใจบุญสุนทานและจิตสาธารณะในการช่วยเหลือสังคม ดังจะเห็นได้จากการที่เขาได้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิศรีธรรมราชาขึ้น และเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เกิดโครงการก่อสร้างตึกสงฆ์อาพาธศรีธรรมราชา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุครบ 72 พรรษา 

โดยตึกแห่งนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่พระสงฆ์ที่อาพาธได้เข้ารับการรักษาพยาบาลที่ดี นับเป็นอีกหนึ่งโครงการที่แสดงให้เห็นถึงน้ำใจเมตตาและความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำความดีและตอบแทนสังคมของนายสนธิญาณได้เป็นอย่างดี การทำบุญครั้งสำคัญนี้จึงเป็นอีกเครื่องพิสูจน์ถึงตัวตนที่งดงามด้านจิตใจของเขา ที่นอกเหนือไปจากความสามารถโดดเด่นในด้านอื่นๆ

รอลงอาญา “สนธิญาณ”: บทเรียนแห่งความยุติธรรมและการให้โอกาส

ด้วยภูมิหลังและคุณูปการที่นายสนธิญาณมีต่อสังคมไทยดังที่ได้กล่าวมา จึงไม่แปลกใจเลยที่ ศาลฎีกา จะนำเอาสิ่งเหล่านี้มาพิจารณาประกอบการตัดสินคดี การใช้ดุลยพินิจในการรอลงอาญานั้น ก็แสดงให้เห็นถึงความพยายามของศาลที่จะสร้างความสมดุลระหว่างหลักนิติธรรมกับการเห็นคุณค่าในตัวจำเลย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมสูงสุดแก่ทุกฝ่าย

การที่ศาลใช้ดุลยพินิจให้รอลงอาญา 2 ปีแทนการจำคุกทันที คือความพยายามที่จะสร้างสมดุลระหว่างการลงโทษเพื่อให้เข็ดหลาบ และการเปิดโอกาสให้คนเก่งอย่างนายสนธิญาณได้กลับมาสร้างประโยชน์แก่สังคมต่อไป นี่คือดุลยภาพแห่งความยุติธรรมที่พิจารณาถึงบริบทและภูมิหลังแต่ละคดี เพื่อให้การลงโทษนั้นถูกต้องและเหมาะสมที่สุด

คุณงามความดีไม่สูญเปล่า: บทเรียนจากคดี “สนธิญาณ”

แม้ในวันนี้จะชัดเจนว่า ได้ทำผิด แต่ทว่าคุณูปการที่เขามีต่อวงการข่าวสารและสังคมไทยนั้นกลับประจักษ์แจ้งจนปฏิเสธไม่ได้ และได้รับการจารึกไว้ในคำวินิจฉัยของศาล นี่แหละคือความภาคภูมิใจสูงสุดของเขาในวันนี้ แม้จะต้องแลกมาด้วยบทลงโทษทางกฎหมายก็ตาม

สุดท้ายนี้ คดีของนายสนธิญาณได้ฝากข้อคิดสำคัญไว้ว่า ไม่ว่าใครจะมีคุณความดีมากล้นเพียงใด หากทำผิดกฎหมายก็ต้องถูกลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม ทว่า คุณงามความดี นั้น มิได้สูญหายไปไหน หากยังคงส่องสว่างอยู่ในคำพิพากษา และเป็นดังประทีปนำทางการใช้ชีวิตของพวกเราทุกคน ว่าการเป็นพลเมืองดีของสังคมคือคุณค่าสูงสุด ไม่ว่ายามสุขหรือยามทุกข์เช่นในกรณีนี้


ข่าวที่เกี่ยวข้อง