ตามที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว ภายหลังลงพื้นที่ตรวจสอบข้าวสารในโกดังของรัฐบาล ตามโครงการรับจำนำข้าว ที่คลังกิตติชัยหลัง 2 อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ ปัจจุบันมีข้าวประมาณ 112,711 กระสอบ และคลัง บจก.พูนผลเทรดดิ้ง หลัง 4 อ.เมืองสุรินทร์ จ.สุรินทร์ มีข้าวจำนวน 32,879 กระสอบ ที่ได้นำข้าวที่เก็บอยู่ในโกดังมาหุงและรับประทานร่วมกับสื่อมวลชนและผู้เกี่ยวข้องเพื่อยืนยันว่า ข้าวดังกล่าวปลอดภัยและสามารถรับประทานได้ และประกาศว่าหลังจากนี้จะมีการตรวจสอบก่อนนำข้าวสารในโกดังของรัฐออกจำหน่ายเป็นการทั่วไปนั้น
ล่าสุดวานนี้ (7 พ.ค. 67) นางสาวมลฤดี โพธิ์อินทร์ รองหัวหน้าฝ่ายนโยบายและนวัตกรรม สภาผู้บริโภค แสดงความคิดเห็นต่อกรณีดังกล่าวว่า ข้าวดังกล่าวถูกเก็บในโกดังเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี ซึ่งอาจมีการใช้สารเคมีหลายชนิดในการเก็บรักษาเพื่อยืดอายุและคงคุณภาพของข้าวนั้น อาจส่งผลต่อคุณภาพข้าวที่ทำให้ไม่ปลอดภัยในการบริโภค ดังนั้น สภาผู้บริโภคจึงขอเรียกร้องให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เร่งส่งตัวอย่างข้าวทุกกระสอบตรวจวิเคราะห์คุณภาพความปลอดภัยด้านอาหาร ทั้งทางเคมีและทางกายภาพเพื่อหาการตกค้างของสารเคมีและเชื้อราต่าง ๆ อีกทั้งเมื่อตรวจยืนยันความปลอดภัยแล้วขอให้แถลงผลการทดสอบต่อสาธารณะให้ประชาชนรับรู้ก่อนการประมูลข้าว
ทั้งนี้ หากข้าวดังกล่าวผ่านมาตรฐานและมีการประมูลขายข้าวให้ประชาชน รัฐบาลต้องเปิดเผยชื่อบริษัทที่ประมูลข้าวด้วยว่าคือบริษัทอะไร มีวัตถุประสงค์ประมูลข้าวไปเพื่ออะไร และใช้ชื่อการค้าว่าอย่างไร รวมถึงต้องแสดงในฉลากสินค้าว่า “ข้าวนี้มาจากการเก็บในโกดัง 10 ปี”
ทั้งนี้ ข้อมูลของที่มาของสินค้าที่อาจมีการปนเปื้อนเป็นสิทธิพื้นฐานของผู้บริโภคที่ควรจะได้รับรู้เพื่อใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้อ