วันที่ 29 มกราคม 2567 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเพจ “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ – Natthaphong Ruengpanyawut” ถึงประเด็นที่ถูกพาดพิงในคดี ปปป.จับกุม “ศรีสุวรรณ-เจ๋ง ดอกจิก” ปมตบทรัพย์ อธิบดีกรมการข้าว แลกกับการไม่ร้องเรียน ว่า [ ข้อเท็จจริง และข้อมูลเพิ่มเติม – กรณีที่ผมถูกพาดพิงในคดี ปปป. เข้าจับกุมนักร้อง ฐานเรียกตบทรัพย์ อธิบดีกรมการข้าว ตามที่ปรากฏในหน้าข่าว ]
ข้อเท็จจริง
1.นายศรีสุวรรณ จรรยา และนายยศวริศ ชูกล่อม มายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ กมธ.ติดตามงบฯ ในวันที่ 20 ธันวาคม 2566 เรื่องการขอให้ตรวจสอบการใช้งบกรมฝนหลวง และการบินเกษตร ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับคดีเรียกตบทรัพย์จากอธิบดีกรมการข้าว ที่ถูกล่อซื้อ/บุกจับกุม ตามที่ปรากฏในข่าวแต่อย่างใด ซึ่งผมได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายเลขาฯ ลงไปรับหนังสือร้องเรียนแทนในวันนั้น เนื่องจากติดภารกิจการจัดงานสัมมนาของคณะกรรมาธิการในวันดังกล่าว
2.คณะกรรมาธิการฯ ได้นำเรื่องร้องเรียนเข้าที่ประชุมครั้งที่ 11 วันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม 2566 โดยผมเป็นประธาน ได้แจ้งต่อที่ประชุมและที่ประชุมได้รับทราบถึงหนังสือร้องเรียนตามข้อ (1) แล้ว ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการปกติ
3.ปัจจุบัน เรื่องของกรมฝนหลวงตามหนังสือร้องเรียนในข้อ (1) ยังไม่ถูกบรรจุเป็นวาระพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯ เนื่องจากอยู่ระหว่างการตรวจสอบหามูลเหตุข้อเท็จจริง
ข้อมูลเพิ่มเติม
สาเหตุ: ที่ผมยังไม่บรรจุเรื่องตามข้อ (1) เข้าเป็นวาระการพิจารณาของคณะกรรมาธิการก็เพราะว่า ก่อนที่จะมีการยื่นหนังสือข้อร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการในวันที่ 20 ธ.ค. 66 นายยศวริศ ชูกล่อม (เจ๋ง ดอกจิก) ได้โทรศัพท์มาหาผม (ไม่แน่ใจว่าได้เบอร์โทรศัพท์ผมมาจากช่องทางใด) เพื่อแจ้งและขอให้ผมลงไปรับหนังสือเรื่องร้องเรียนตามข้อ (1) ด้วยตนเอง ซึ่งผมได้ตอบปฏิเสธไป เนื่องจากติดภารกิจการจัดงานสัมมนาของคณะกรรมาธิการพอดิบพอดี
อย่างไรก็ตาม ได้มีความพยายามอย่างยิ่งจากนายยศวริศ ชูกล่อม ที่ต้องการให้เป็นกรรมาธิการจากพรรคก้าวไกลเท่านั้น ในการเป็นตัวแทนลงไปรับหนังสือร้องเรียนแทนผม กรณีที่ผมไม่ว่าง
ซึ่งระหว่างการสนทนากันทางโทรศัพท์ ที่ผมได้โทรกลับไปสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 2-3 ครั้ง เพื่อต้องการสอบถามข้อมูล ข้อเท็จจริง ที่มาที่ไปของข้อร้องเรียน เพื่อทำให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น นายยศวริศ ชูกล่อมได้มีการอ้างถึง “รัฐมนตรีช่วย” ท่านหนึ่ง ว่าเป็นคนส่งข่าว และส่งข้อมูลนี้มาให้กับเขา เพื่อขอให้ กมธ. ช่วยตรวจสอบ
จากกรณีดังกล่าว ผมได้สอบถามไปยัง ส.ส. ซึ่งเป็นกรรมาธิการคณะนี้ ที่สังกัดพรรคเดียวกับ “รัฐมนตรีช่วย” ที่ถูกอ้างถึง เพื่อขอให้ทวนสอบยืนยันกับรัฐมนตรีช่วยท่านนั้นว่า ข้อร้องเรียนดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ ซึ่งผมยังไม่ได้รับการยืนยันใด ๆ กลับมา (ตั้งแต่วันนั้น จนถึงในปัจจุบัน)
จากรูปการณ์ทั้งหมด ทำให้ผมรู้สึกถึงข้อพิรุธดังต่อไปนี้
(1) ถ้าเป็นเรื่องที่มาจาก “รัฐมนตรีช่วย” จริง ทำไมไม่ฝาก สส. ในพรรคเดียวกัน ซึ่งนั่งอยู่ในกรรมาธิการชุดนี้ เสนอเรื่องเพื่อบรรจุวาระใน กมธ. ได้เลย ทำไมต้องฝากผ่านผู้ร้องมาร้องแทน
(2) หากพิจารณาในมุมการเมือง ก็อาจเป็นไปได้ว่า เป็นเพราะว่าเป็นฝ่ายรัฐบาลด้วยกัน จึงไม่สามารถออกหน้าได้ อาจต้องอาศัยพรรคฝ่ายค้านในการตรวจสอบฝ่ายรัฐบาลด้วยกันที่อยู่คนละพรรค แต่หากเป็นกรณีนี้จริง เหตุใดผมจึงไม่ได้รับการยืนยันกลับมา จากการทวนสอบข้อมูลหลังบ้าน ผ่าน ส.ส. ร่วมพรรคเดียวกันกับรัฐมนตรีช่วยที่ถูกอ้างถึง
(3) เหตุใด กรณีนี้ถึงค่อนข้างเฉพาะเจาะจง (เรียกได้ว่าถึงขั้นคะยั้นคะยอ) ว่าต้องเป็น ส.ส.พรรคก้าวไกล เท่านั้นลงไปรับหนังสือร้องเรียนแทน
จากข้อพิรุธทั้ง 3 ข้อ ทำให้ผมตัดสินใจยังไม่บรรจุวาระเรื่องร้องเรียนตามข้อ (1) จนกว่าจะสืบหามูลเหตุข้อเท็จจริงให้มีความแน่ชัดเสียก่อน
ข้อมูลทั้งหมด ที่อยู่ในส่วนของข้อมูลเพิ่มเติม เป็นข้อมูลที่ถึงแม้ผมจะไม่ได้บันทึกคลิปเสียงสนทนาไว้เป็นหลักฐาน แต่ผมมีบันทึกโทรศัพท์ (Call Log) ที่สามารถตรวจสอบได้จากผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ ว่าผมได้โทรติดต่อกลับนายยศวริศ ชูกล่อม เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และได้โทรหา ส.ส. พรรคเดียวกับ “รัฐมนตรีช่วย” ที่ถูกกล่าวอ้างเพื่อทวนสอบข้อมูลจริง และผมยังได้มีการโทรหา ส.ส.ร่วมพรรคและร่วมกรรมาธิการ เพื่อปรึกษาหารือถึงกรณีดังกล่าวในวันที่ 19 ธ.ค. 66 ราว 3-4 ท่านจริง ซึ่งทุกท่านเป็นพยานให้กับผมได้ หากต้องมีการให้การเพิ่มเติมประกอบการดำเนินคดีดังกล่าว
ทั้งนี้ ผมขออนุญาตไม่เปิดเผยชื่อบุคคลที่สามที่ยังไม่ปรากฏบนหน้าข่าวที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้ในตอนนี้ เพื่อไม่ให้เป็นการพาดพิงและสร้างผลกระทบต่อบุคคลเหล่านั้นโดยไม่จำเป็นครับ
สุดท้าย
“ผมขอปฏิเสธ” ถึงข้อกล่าวอ้างใดๆ ตามภาพในโพสต์ (รูปแชตไลน์)
ที่มีการกล่าวอ้างว่าบุคคลผู้นั้นผู้นี้สามารถเคลียร์กับผมได้ สามารถขอให้หยุดการดำเนินเรื่องในคณะกรรมาธิการได้ ฯลฯ
เพื่อเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ ว่าผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือส่วนได้ส่วนเสียใดๆ กับคดีการเรียกตบทรัพย์ในครั้งนี้ และขอให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีกับผู้ที่เจตนาทุจริตอย่างเต็มที่ที่สุด หากมีผู้ใดพยายามใช้คณะกรรมาธิการเป็นเครื่องมือในการเรียกตบทรัพย์ ผมพร้อมให้ความร่วมมือในการเข้าให้การ และให้ข้อมูลข้อเท็จจริงกับเจ้าหน้าที่ เพื่อทำความจริงให้ปรากฏครับ