เป็นบรรทัดฐานใหม่ สำหรับนโยบายการแก้ปัญหาฝุ่นในภาคเหนือของรัฐบาล หลังจาก ศาลปกครองเชียงใหม่ วินิจฉัย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ละเลย หรือ ปฏิบัติหน้าที่แก้ฝุ่นล่าช้า และ ศาลมีคำสั่งให้ กำหนดมาตรการ หรือ จัดทำแผนฉุกเฉินแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ภายในระยะเวลา 90 วัน
ภาคประชาชนที่เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ต่างแสดงความดีใจ หลังชนะคดีฟ้องการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5
ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสนเทศ และ กรมควบคุมมลพิษ ตั้งแต่ปี2562 เป็นต้นมา ที่หลายจังหวัดในภาคเหนือประสบปัญหาฝุ่น PM 2.5 เกินค่ามาตรฐานกระทบต่อสุขภาพประชาชนอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับข้อมูลทางการแพทย์ที่บ่งชี้ว่าฝุ่น PM 2.5 เป็นปัจจัยสำคัญทำให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ โดยมีอัตราเสียชีวิตและป่วยเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ปี 2561 ถึง 2566 เป็นส่วนหนึ่งที่ศาลนำมาประกอบการพิจารณาคดี
แม้ข้อเท็จจริง ปรากฏว่าผู้ถูกฟ้องที่ 1 พลเอกประยุทธ์ จันท์โอชา นายกรัฐมนตรีขณะนั้นจะสั่งการป้องกันและแก้ปัญหา แต่พื้นที่ภาคเหนือ ยังตกอยู่ในสภาวะอันตรายจากฝุ่น PM 2.5 กรณีนี้ศาลจึงถือว่าปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายล่าช้าเกินสมควร
ส่วนกรณีคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ผู้ถูกฟ้องที่ 2 ศาลวินิจฉัยว่า ละเลยต่อหน้าที่และปฏิบัติล่าช้าเกินสมควร
ศาลปกครองพิพากษาให้พลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ขณะนั้น และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ใช้อำนาจหรือร่วมกันใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ปี 2535 กำหนดมาตรการ หรือ จัดทำแผนฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพ บูรณาการและยั่งยืน ควบคุม แก้ไข บรรเทา หรือระงับอันตรายจากฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่ “ภาคเหนือ” กำหนดมาตรการ หรือแผนฉุกเฉินให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับตั้งแต่คำพิพากษาถึงที่สุด คำขออื่นให้ยก
ข้อมูลคุณภาพอากาศ จากเวปไซด์ air4thai ล่าสุด พบว่าในภาคเหนือมีพื้นที่ ที่ค่าฝุ่นเกินค่ามาตรฐาน 6 พื้นที่