วันที่ 18 มกราคม 2567 พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผย ผลการสอบปากคำลุงเปี๊ยก กรณีถูกตำรวจสอบสวนโดยการใช้ถุงดำคลุมหัวและทำร้ายร่างกายเพื่อบังคับให้รับสารภาพนั้น เบื้องต้น ลุงเปี๊ยกให้การว่ามีตำรวจชุดสืบสวนชั้นประทวนที่ใส่ขาเทียม 1 นาย เป็นคนนำตัวลุงเปี๊ยกไปสอบสวน เพื่อให้รับสารภาพว่าเป็นคนฆ่าป้าบัวผัน เป็นเวลากว่า 9 ชั่วโมง
ด้วยวิธีการเปิดแอร์ให้หนาว และใช้ถุงดำคลุมหัว เพราะตำรวจนายดังกล่าวเชื่อว่าลุงเปี๊ยกกระทำผิดแต่ไม่ยอมรับสารภาพ จึงนำตัวไปสอบเค้นข้อมูล แต่รายละเอียดอื่นๆ ขอให้เป็นเรื่องในสำนวน โดยการกระทำดังกล่าวถือว่าเข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติปราบปรามการทรมาน หรือ พ.ร.บ.อุ้มหายอย่างชัดเจน รวมถึงยังมีความผิดตามมาตรา 157 และความผิดทางวินัยซึ่งมีโทษสูงสุดถึงไล่ออกด้วย
หลังจากนี้จะต้องมีการสอบปากคำตำรวจชุดสืบสวนของสถานีตำรวจภูธร อรัญประเทศ ทั้งหมด เพื่อขยายผลว่ามีตำรวจนายอื่น หรือผู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้องหรือรู้เห็นกับการสอบปากคำลุงเปี๊ยกด้วยหรือไม่ หากผู้บังคับบัญชารู้เห็นแต่เพิกเฉยก็ถือว่ามีความผิดด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นลุงเปี๊ยก ยืนยันว่ามีตำรวจเพียง 1 นายที่อยู่ในห้องและสอบสวนลุงเปี๊ยก ส่วนสารวัตรรองผู้กำกับไม่ได้อยู่ในห้องด้วย และยังพูดจากับลุงเปี๊ยกด้วยดี ส่วนตัวลุงเปี๊ยกหลังให้การ และชี้ตัวนายตำรวจที่กระทำดังกล่าวแล้วก็รู้สึกสบายใจ ไม่มีความกังวลแล้ว และหลังจากนี้ก็ตั้งใจจะไปบวชด้วย
พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ยอมรับว่า การกระทำของตำรวจเป็นการบีบบังคับให้ลุงเปี๊ยกรับสารภาพ แม้ทางลุงเปี๊ยกจะยืนยันหลายครั้งว่าตนเองไม่ได้ทำ แต่ก็มีการบังคับให้ไปชี้ที่เกิดเหตุ มีการเปิดแอร์ให้รู้สึกหนาว นำถุงดำมาครอบศีรษะในการสอบปากคำ จนรู้สึกเหนื่อยและหนาวจนทนไม่ไหว กระทั่งยอมรับสารภาพในที่สุด ซึ่งถือว่าน่าเห็นใจ เป็นใครที่ถูกสอบปากคำในสภาพนั้นถึง 9 ชั่วโมงก็คงทนไม่ไหวเช่นกัน แต่ยืนยันว่าครั้งนี้ตนเองก็ไม่ได้บังคับขู่เข็ญลุงเปี๊ยกด้วยเช่นกัน
ส่วนเยาวชนทั้ง 5 รายที่ถูกควบคุมตัวอยู่นั้น ได้ทราบข้อมูลจากอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กว่าพฤติกรรมเป็นปกติ และจะต้องดำเนินการแยกบ้านกัน บางส่วนไปอยู่ที่จังหวัดระยองและจันทบุรี มิฉะนั้นจะไม่สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ โดยการนำตัวเด็กไปอยู่ที่บ้านแรกรับนั้น จะอยู่เบื้องต้น 3 ปี และอยู่ได้จนอายุไม่เกิน 18 ปี หากมากกว่านั้นจะต้องถูกจำคุก