วันที่ (18 ม.ค.67) นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือเบนซ์ เรซซิ่ง พร้อมคุณแม่ และทีมทนายความ เดินทางมายื่นใช้สิทธิขอรับเงินเยียวยา กรณีถูกจำคุกเกินกว่าจำนวนวันที่พิพากษากำหนดโทษ จากกรณีที่ศาลตัดสินจำคุก เบนซ์ เรซซิ่ง ในความผิดฐานฟอกเงินเป็นเวลา 3 ปี 4 เดือน แต่เนื่องจากเบนซ์ เรซซิ่ง รับโทษมานานกว่า 4 ปี ก่อนจะได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำเมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา
และในการมาครั้งนี้ ยังขอคำปรึกษากรณีขอให้กรมราชทัณฑ์มีการแยกการคุมขังของผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณา และผู้ต้องขังตามคำพิพากษาออกจากกัน
โดยนายกองตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ได้รับมอบหมาย จาก นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ให้มารับเรื่องทุกข์จาก เบนซ์ เรซซิ่ง มายื่นใช้สิทธิขอรับเงินเยียวยา กรณีถูกจำคุกเกินกว่าจำนวนวันที่ศาลพิพากษากำหนดโทษ เกินมาทั้งหมด 256 วัน โดยจำนวนเงินเยียวยาจะคิดจากเงินค่าแรงขั้นต่ำของแต่ละพื้นที่ซึ่งไม่เท่ากัน
ในกรณีของเบนซ์ เรซซิ่ง อยู่ในพื้นที่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล จะได้รับค่าสูญเสียรายได้ในการทำงานวันละ 363 บาท และอีกส่วนคือค่าคุมขังในเรือนจำวันละ 500 บาท ที่ต้องได้รับจากกรมราชทัณฑ์ โดยจะนำมาคิดตามจำนวนวันที่ถูกคุมขังเกิน
หลังจากนี้จะพิจารณาเรื่องเอกสารที่มี ตั้งแต่คำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และฎีกา และจะสรุปความส่งเรื่องให้กรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ เพื่อให้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาเงินเยียวยาเงินดังกล่าวต่อไป คาดว่าน่าจะใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือน ซึ่งยอมรับว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีกรณีการใช้สิทธิเรียกรับเงินเยียวยาจากจำเลยที่ถูกคุมขังเกินกำหนดคำพิพากษา มีเพียงการเรียกร้องสิทธิของผู้เสียหายที่เป็นแพะในคดีเท่านั้น
นอกจากนี้ยังเห็นด้วยกับประเด็นที่เบนซ์ เรซซิ่งมีความเห็นว่าอยากให้กรมราชทัณฑ์ควรจะมีที่คุมขังแยกส่วนระหว่างผู้ต้องขังที่คดีถึงที่สุดและผู้ต้องขังที่อยู่นะหว่างการพิจารณาคดีของศาลหรืออยู่ระหว่างฝากขังของพนักงานสอบสวน ซึ่งจะทำเรื่องนี้ถึงกรมราชทัณฑ์ เพื่อพิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ เบนซ์ เรซซิ่ง กล่าวว่า วันนี้เดินทางมาเพื่อยื่นเอกสารขอใช้สิทธิที่จะได้รับ แม้จำนวนเงินที่จะได้รับอาจไม่มาก แต่ตั้งใจมาเพื่อมาใช้สิทธิของตัวเอง และอยากให้ผู้ต้องหาคนหรือจำเลยคนอื่นๆ ที่กรณีในลักษณะเดียวกัน และอาจยังไม่ทราบ ให้สามารถมาใช้สิทธิได้
พร้อมทั้งอยากเป็นกระบอกเสียงให้กับผู้ต้องขังที่ไม่มีโอกาสได้พูด โดยอยากแนะนำถึงเรื่องการแยกการคุมขังระหว่างผู้ต้องขังที่อยู่ระหว่างรอพิจารณาคดี และผู้ต้องขังที่คดีถึงที่สุดแล้ว เพราะตามรัฐธรรมนูญ เขียนว่า “ผู้ต้องหาที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยไม่มีความผิด ยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ จนกว่าคดีจะถึงที่สุด”
แต่ในการปฏิบัติหลายอย่างในเรือนจำไม่มีการแบ่งแยก ทำให้เสียสิทธิ์หลายอย่าง ทั้งเวลา การงาน และครอบครัว ซึ่งการต่อสู้คดีใช้ระยะเวลานานหลายปี แม้สุดท้ายศาลพิพากษายกฟ้อง ก็เทียบไม่ได้กับสิ่งที่เสียไป จึงอยากให้สิทธิคนที่อยู่ระหว่างต่อสู้คดีได้รับสิทธิอย่างเต็มที่ เช่น สิทธิ์ในการเยี่ยมญาติ การเตรียมเอกสารกลักฐานต่าง ๆ เพื่อใช้ต่อสู้คดี และการพบทนายความ ซึ่งการเยี่ยมญาติ จะได้รับโอกาสเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ครั้งละ 20 นาที เท่ากับปีละ 16 ชั่วโมงเท่านั้น เช่นเดียวกับนักโทษเด็ดขาด
โดยปัจจุบันมีผู้ต้องขังในเรือนจำทั้งหมด 276,466 คน ในจำนวนนั้นมีผู้ต้องขังที่อยู่ระหว่างพิจารณาคดี 54,530 คน ซึ่งมองว่าคนที่ไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ทำให้ไม่มีโอกาสในการเตรียมเอกสารหลักฐาน อาจทำให้จากที่จะชนะคดี กลายเป็นแพ้คดี
ภาพ – ธนโชติ ธนวิกรานต์