ศิริกัญญา ผิดหวัง รัฐบาลเศรษฐา จัดงบไม่ต่าง 9 ปีรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ เห็นใจ ตามเช็ดหนี้เก่า ซัด ส่วนหาเสียงตัดลดงบกลาโหมกลับเพิ่ม 2% ยืนยันอภิปรายงบไม่ใช่เวทีซักฟอกแน่ มอง ตั้ง ‘ภูมิธรรม’ นั่งประธานกมธ.งบมีเป้าการเมือง
นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส. บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมอภิปราย ร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ที่จะมีการอภิปราย วันที่ 3-5 มกราคมนี้ ว่า พรรคก้าวไกลได้ศึกษาวิเคราะห์งบประมาณออกมาแล้ว และได้ตั้งเป็นธีมขึ้นมาว่า วิกฤตแบบใด ทำไมจึงจัดงบแบบนี้ เพราะหลังจากที่ได้ศึกษา ทั้งพรรคเพื่อไทยหรือรัฐบาล ไม่ได้พยายามจะคบมาเพื่อตอบโจทย์วิกฤตต่างๆ ขณะที่ก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยได้อ้างถึง 3 วิกฤต คือวิกฤตเศรษฐกิจปากท้อง วิกฤตรัฐธรรมนูญ และวิกฤตความขัดแย้ง อีกทั้งยังมีวิกฤตอื่นๆที่สังคมเห็นตรงกัน ว่าเป็นวิกฤต วิกฤตทางด้านการศึกษา วิกฤตทรัพยากรมนุษย์ วิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อลงไปดูในเรื่องงบประมาณ กลับไม่เห็นการจัดงบประมาณ ในการแก้ไขปัญหาวิกฤตดังกล่าว
ขณะเดียวกันงบฯ ที่ควรนำมาใช้ตอบโจทย์ประชาชนกลับไม่มี แต่กลับพบว่างบฯ ที่ไม่เหมาะไม่ควรยังคงมีอยู่ อีกทั้งมีงบฯอีกหลายอย่างที่หายไป เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ ที่หลายคนต้อฃการเห็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ไมาเห็นแนวทางที่จะไปกระตุ้นเศรษฐกิจเลย อย่างเช่นโครงการดิจิทัลว็อตเล็ตงบประมาณก็ไม่ได้ถูกบรรจุไว้ ซึ่งต้องไปรอลุ้นในวันที่พ.ร.บ. เงินกู้ออก
สำหรับการตั้งงบประมาณในการทำประชามติ มีการตั้งงบไว้เพียงกึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังไม่รู้ว่าไทม์ไลน์ที่แท้จริงจะออกมาอย่างไร จะจัดทำประชามติกี่ครั้ง และงบที่จัดไว้แต่เพียงพอหรือไม่ ยังมีงบอีกหลายเรื่อง ที่ต้องยอมรับว่ารัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน จำเป็นจะต้องรับมรดกหนี้จากรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งหนี้สาธารณะ จากการออกพ.ร.บ.กู้เงิน ซึ่งยังต้องมีการตั้งงบไปใช้ในเงินคงคลัง เนื่องจากรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ มีการตั้งงบไว้ไม่เพียงพอ ที่สำคัญจำเป็นอย่างงบฯประจำ ซึ่งขณะนี้หนี้เงินคงคลัง 120,000 ล้านบาท แล้วยังมีหนี้ส่วนอื่นๆจากรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ ที่จะต้องชดใช้เกือบ 4 แสนล้านบาท ซึ่งตนก็เห็นใจ แต่ส่วนที่เหลือที่สามารถจัดสรรงบประมาณได้เองกลับไม่เห็นความพยายามที่จะขับเคลื่อนนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภา รวมถึงนโยบายที่ได้หาเสียงไว้กับประชาชน
นางสาวศิริกัญญา ยังระบุอีกว่า รู้สึกผิดหวังกับการจัดสรรงบประมาณที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากรัฐบาลก่อนหน้านี้ พร้อมตั้งข้อสังเกต 2 ประการ เรื่องระยะเวลาที่ไม่สามารถใส่โครงการใหม่ๆเข้ามาได้ แต่ต้องยอมรับว่างบประมาณฉบับนี้มีการแก้ไขปรับปรุงตลอดเวลา ขณะเดียวกันยังมองอีกว่า การเข้าสู่อำนาจของรัฐบาลทำให้ รัฐบาลต้องประนีประนอมกับหลายฝ่ายที่ร่วมรัฐบาล ทำให้หลายโครงการที่เป็นเรือธง อย่างเช่นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ หรือแจกแท็บเล็ต กลายเป็นไปอยู่ในมือของรัฐมนตรีพรรคร่วมรัฐบาลแทนถึงไม่สามารถขับเคลื่อนได้ ซึ่ง นี่เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลจากการได้งบประมาณเพียง 4 วันเท่านั้น
ขณะเดียวกันนางสาวศิริกัญญา ยังมองว่า งบประมาณของกระทรวงกลาโหมที่จัดสรรมานั้นเป็นไปอย่างน่าผิดหวัง ที่ก่อนหน้านี้ พรรคเพื่อไทยได้มีการหาเสียงเอาไว้ว่าจะตัดลดงบประมาณของกระทรวงกลาโหม ลง 10% แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคืองบเพิ่ม 2% ซึ่งส่วนอื่นพอหาเหตุผลได้ เช่น กระทรวงมหาดไทยที่งบเพิ่มมาจำนวนมาก เพราะมาจากการจัดงบฯ เพื่อการกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่นต้องขึ้นลงตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น ก่อนเก่าอย่าว่ากันจัดสรรงบประมาณในปีนี้ไม่มีอะไรที่ทำให้รู้สึกประหลาดใจ เนื่องจากสามารถคาดเดาได้จากมุขรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันหลายคนรู้สึกคาดหวัง ว่าในรอบ 9 ปี ที่มีการเปลี่ยนผู้นำรัฐบาล ประมาณจะถูกจัดสรรแบบใหม่ๆ เพื่อที่จะสามารถทำให้ขับเคลื่อนนโยบายที่หายเสียงไว้ นโยบายที่รัฐบาลได้สัญญากับประชาชน แต่ขึ้นปีที่ 10 เรายังคงเจอการทำงานแบบเดิมๆ
เมื่อถามถึงเรื่องงบประมาณในโครงการดิจิทัลว็อตเล็ต ที่ไม่ถูกบรรจุในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 นางสาวศิริกัญญา ห่วงว่ารัฐบาลจะไม่ได้ทำ เพราะช่วงต้นปีหน้า คณะกรรมการกฤษฎีกาจะให้ความกระจ่างกับรัฐบาลว่าสามารถทำได้หรือไม่ แต่การเอาไข่ไปไว้ในตะกร้าเดียว เหมือนเป็นการฝากความหวังการกระตุ้นเศรษฐกิจในนโยบายเดียว ซึ่งถ้าสุดท้ายทำไม่ได้เท่ากับว่าเงินที่เหลืออยู่ รัฐบาลจะสามารถจัดสรรเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ใช้ได้เพียงในงบกลางเท่านั้น แต่ในงบกลางก็พบว่ามีการจัดสรรไว้อย่างไม่เพียงพอ รวมไปถึงยังมีอีกหลายโครงการที่ต้องใช้งบประมาณจากงบกลาง จากที่ตั้งไว้แล้วไม่เพียงพอ พร้อมกับฝากไปยังรัฐบาล อย่าจัดสรรงบประมาณตามใจข้าราชการ มากกว่าการทำตามนโยบายที่ได้สัญญาไว้กับประชาชน
ส่วนได้มีการพูดคุยกับพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะพรรคร่วมฝ่ายค้านเพื่อแบ่งงานแล้วหรือไม่ นางสาวศิริกัญญา ระบุว่า เร็วๆนี้น่าจะมีการตกลงเรื่องเวลาในการอภิปราย แต่ขอให้รอฟังพรรคประชาธิปัตย์ทำการบ้านก่อน จึงจะมาจัดคิวในการอภิปราย โดยจะพยายามจัดสรรเรื่องที่ใกล้เคียงกันไว้ด้วยกัน ซึ่งสอดคล้องกับทางรัฐบาลที่ได้ร้องขอ ให้การอภิปรายเป็นไปในประเด็นเดียวกัน เพื่อให้รัฐมนตรีได้ชี้แจ้งในครั้งเดียว โดยยืนยันว่าจะไม่มีการอภิปรายเป็นรายกระทรวง และยืนยันว่าผู้อภิปรายจากพรรคก้าวไกลทั้ง 33 คน จะอภิปรายเนื้อหาไม่มีซ้ำกัน
ส่วนระยะเวลาในการศึกษาร่างพ.ร.บ.งบประมาณน้อยเกินไปหรือไม่ นางสาวศิริกัญญา ยอมรับว่าจะต้องทำงานหนักขึ้น เนื่องจากมีเวลาศึกษาเพียง 7 วัน ซ้ำร้ายยังตรงกับช่วงเทศกาลปีใหม่ ถึงไม่ได้หมายความว่าเราไม่อยากทำงาน หรืออยากหยุดพักผ่อน แต่ตามปกติแล้ว สส.จะมีการรับงานไปพบปะประชาชนในพื้นที่ร่วมฉลองงานปีใหม่กับชุมชนสุดท้ายจะต้องยกเลิกนัดหมาย พร้อมย้ำว่าแม้จะมีเวลาน้อยแต่ต้องทำงานให้หนักขึ้น และยืนยันว่าระยะเวลา 7 วันนี้จะเตรียมความพร้อมในการอภิปรายไม่ให้ประชาชนผิดหวัง รวมไปถึง วันที่ 31 ธ.ค.นี้ก็จะเปิดพรรคซักซ้อมการอภิปรายพร้อมกับนับถอยหลังเคาท์ดาวน์
ส่วนการแปลงไฟล์งบประมาณเป็นไฟล์ Excel นั้น นางสาวศิริกัญญา มองว่าเป็นการอำนวยความสะดวกในการวิเคราะห์งบประมาณได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น และลึกขึ้น เพราะในบางงบประมาณมีการเสนอโครงการสอดไส้ อย่างงบประมาณของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ที่มีโครงการประกันรายได้ ตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการตั้งงบใช้หนี้โครงการเดิม
ส่วนที่รัฐบาลได้มีการติง การอภิปรายงบประมาณ ไม่ให้เป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่าหากทางรัฐบาลได้ติดตาม การทำงานของพรรคก้าวไกล ในการอภิปรายงบประมาณ เวทีงบประมาณคือการอภิปรายงบประมาณไม่ใช่เวทีซักฟอกอย่างแน่นอน ซึ่งเวทีนี้ เป็นเวทีของการแถลงนโยบาย 1 ปี ของรัฐบาล ซึ่งก่อนเริ่มต้นที่รัฐบาลได้เริ่มแถลงนั้นเป็นระยะเวลาการดำเนินงาน 4 ปี แต่การอภิปรายงบเป็นวาระเพียง 1 ปี จะวิพากษ์เพียงการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินล้วนๆ ส่วนการซักฟอกอาจมีบางโครงการที่สุ่มเสี่ยงต่อการทุจริต อาจจะมีการพูดบ้าง แต่ไม่ใช่หลักใหญ่ใจความในการอภิปราย
ส่วนมองอย่างไรที่ประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ผ่านมานี้การมอบหมายให้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานกรรมาธิการงบประมาณ เนื่องจากธรรมเนียมปกติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะต้องนั่งเป็นประธาน นางสาวศิริกัญญา ระบุว่า คนรู้สึกประหลาดใจเนื่องจากนายภูมิธรรมเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงไม่ใช่รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ หากจะเป็นนายปานปรีย์ พหิทธานุกร หรือ นายจุลพันธ์อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานก็ไม่น่าแปลกใจ
เมื่อถามย้ำว่า การที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายในนายภูมิธรรมนั่งเป็นประธาน สะท้อนว่าไม่ไว้ใจการทำงานจองรัฐมนตรีอื่นหรือไม่ นางสาวศิริกัญญา มองว่าอาจไม่ถึงขนานนั้น แต่ตั้งจ้อสังเกตว่ามีวาระอะไรหรือไม่ เำื่อให้นายภูมิธรรมมาควบคุมด้วยตัวเองทั้งๆที่ไม่ได้รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจการคลัง จึงมองได้ว่าเป็นเป้าหมายทางการเมือง ไม่ใช่เป้าหมายปกติ พร้อมกับระบุว่าจะไม่มีการหยิยกประเด็นดังกล่าวไปใช้ในการอภิปราย แต่ไม่ว่าใครจะมาเป็นประธานกรรมาธิการ ก็ให้โอกาสทดลองในการทำงานก่อน แต่หากมีแัญหาค่อยมาว่ากัน