คัดลอก URL แล้ว
ม.หอการค้า คาด “เงินดิจิทัล” กระตุ้นเศรษฐกิจ 1.5 ล้านล้านบาท

ม.หอการค้า คาด “เงินดิจิทัล” กระตุ้นเศรษฐกิจ 1.5 ล้านล้านบาท

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เชื่อว่า พรรคเพื่อไทยจะเดินหน้านโยบายแจกเงินดิจิทัลแน่นอน แม้ต้องใช้งบประมาณสูงถึง 5.6 แสนล้านบาท ซึ่งส่วนตัวมองว่า สามารถทำได้ แต่ต้องปรับรูปแบบการใช้เงิน โดยใช้โครงสร้างจากรัฐบาลเดิม ที่ตั้งงบประมาณรายจ่ายปี 67 ไว้ที่ 3 ล้านล้านบาท และทำงบขาดดุลไว้ 7 แสนล้าน แต่ต้องหารือกับสำนักงบประมาณ ให้ชะลอโครงการอื่นๆ ออกไป เพื่อทำเรื่องเงินดิจิทัลก่อน

มองว่า หากใช้นโยบายนี้ จะไม่กระทบหนี้สาธารณะ เพราะขณะนี้ หนี้สาธารณะยังอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังที่ 61% จากเพดาน 70% ต่อจีดีพี จึงไม่ต้องกู้เงินเพิ่ม แต่สิ่งที่จะได้กลับมาคือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% หรือราว 3-3.5 หมื่นล้านบาท และปีถัดไปจะได้ภาษีนิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพราะร้านค้าต่างๆ จะมีรายได้มากขึ้น ประชาชนอาจถูกจ้างงานมากขึ้นจากนโยบายนี้ จะทำให้รัฐบาลมีรายได้ชดเชยในส่วนนี้

ประเมินการใช้เงินดิจิทัล ทุก 1 แสนล้านบาท จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 0.5-0.7% หากใช้ 5 แสนล้านบาท ก็จะกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าเดิมคือ 2-3% เป็นอย่างน้อย ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 67 มีโอกาสขยายตัวได้ประมาณ 5-7% จากเดิมที่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะเติบโต 3-4%

ตอนนี้หลายฝ่าย มองว่าการใช้งบประมาณอาจเกิดขึ้นในเดือน ม.ค. หรือ เม.ย.67 ดังนั้น เศรษฐกิจไทยจะมีแรงกระตุ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี ไตรมาสที่ 1 หรือไตรมาสที่ 2 น่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณการพลิกฟื้นได้ดี ประชาชนจะมีรายได้ทั่วประเทศ

โดยมองว่า เงินจะหมุนเวียนประมาณ 2-3 เท่า เนื่องจากคนส่วนใหญ่มีรายได้ไม่สูง เมื่อได้เงินแล้วจะใช้ทันที ทำให้เม็ดเงินหมุนเวียนจาก 5 แสนล้านบาท ขยายเป็น 1-1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งจะหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจหลายรอบ แต่ต้องดูว่ารัฐบาลจะใช้เมื่อไหร่ และใช้อย่างไร หากใช้เต็มจำนวน 5 แสนล้านบาททันที เงินงบประมาณจะถูกใช้ทันที และจะใช้ภายใน 3-6 เดือน เงินจะหมุนไปตามกรอบ ซึ่งในเดือนแรกคนอาจจะใช้เงิน 1-2 แสนล้านบาท และขยายไปเดือนที่ 3-4 อีก 1-2 แสนล้าน และเดือนสุดท้ายอาจจะเหลือ 1 แสนล้าน ฉะนั้นเงินจะค่อยๆ หมุน

แต่หากรัฐบาลเลือกบริหารงบประมาณแผ่นดิน โดยกำหนดเป็นเฟสการใช้เงินในกระเป๋าดิจิทัล เช่น ไตรมาสที่ 2 ให้คนละ 4 พันบาท ไตรมาสที่ 3 ให้อีกคนละ 3 พันบาท และไตรมาสที่ 4 อีกคนละ 3 พันบาท เงินจะถูกกระจายออกไปในระบบเศรษฐกิจเป็นรอบๆ และถ้ากำหนดให้มีการใช้เงินในพื้นที่หนึ่ง และซื้อสินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศ เงินจะกระจายอยู่ในประเทศ ไม่รั่วไหลออกไปกับสินค้าที่ซื้อจากต่างประเทศ


ข่าวที่เกี่ยวข้อง