วันนี้ 25 ส.ค. 2566 เวลา 13.05 น. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ขณะลงพื้นที่ช่วย โย นายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ ผู้สมัคร สส.เขต3 จ.ระยอง หาเสียงเลือกตั้งซ่อม ว่า พรรคก้าวไกลจะเป็นฝ่ายค้านเชิงรุก ยังมีหลายนโยบายที่ทำงานได้โดยการผลักดันกฎหมายเข้าสภา และยังมีกฎหมายสำคัญสำหรับชาวระยอง เช่น กฎหมายสิ่งแวดล้อม PRTR และกฎหมายแรงงาน ซึ่งจะเป็นการทำงานเชิงรุกเพื่อให้ผลประโยชน์ตกกับประชาชนได้เหมือนเดิม แม้ไม่100% แต่หวังว่าจะเป็นการปูทางเมื่อการเลือกตั้งครั้งหน้ามาถึงจะสามารถซื้อใจประชาชนได้มากกว่าเดิมถ้าตั้งรัฐบาลได้ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้
เมื่อถามถึง กรณีที่มีนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลใหม่แล้วอยากจะฝากความหวังอย่างไรบ้างนั้น นายพิธา ระบุว่า ตนได้โทรไปยินดี และยืนยัน กับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ด้วยตัวเอง โดยได้ยินดีกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 และยืนยันว่าวิกฤตของบ้านเมืองไม่ใช่แค่วิกฤตเกี่ยวกับเศรษฐกิจและวิกฤตเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และการศึกษาอย่างเดียว แต่เป็นวิกฤตศรัทธาของประชาชนที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการได้ฟังเสียงของประชาชนจากการลงพื้นที่ เป็นสิ่งที่ผู้นำคนต่อไปต้องแก้ไข โดยการรวมความคิดของคนในชาติให้กลับมาอยู่เป็นปึกแผ่นเดียวกันได้ และได้ยินนายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์ว่า ท่านจะเป็นนายกของประชาชน ตนก็อวยพรว่าให้ท่านทำได้อย่างนั้นจริงๆ และตราบใดที่นายเศรษฐายังคำนึงอยู่ว่าอำนาจอธิปไตยสูงสุดเป็นของประชาชน แล้วทำหน้าที่โดยไม่ได้ใช้อำนาจอย่างเด็ดขาด แต่ฟังเสียงของประชาชน เป็นตัวแทนของประชาชนได้เยอะๆก็เชื่อว่านายเศรษฐาจะทำได้
ส่วนการบริหารงานของรัฐบาลเศรษฐาจะทำงานได้ยากหรือไม่นั้น เพราะมีการจับกันหลายขั้วและอาจจะมีการต่อรองกันสูง นายพิธา ระบุว่า คิดว่าคงยากเป็นพิเศษ ก็คงต้องดูโผ ครม.ที่ออกมา เท่าที่ติดตามดูในข่าวเห็นนายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรคเพื่อไทยบอกว่าจะออกมาสัปดาห์หน้านั้น ตนก็อยากจะฟังในสิ่งที่ตนและนายเศรษฐาเคยพูดร่วมกันในเวทีดีเบตหลายๆเวที ที่พูดเรื่องการปฏิรูปกองทัพ และการสมรสเท่าเทียม และสุราก้าวหน้า ก็ต้องดูว่าใครจะมาเป็นรัฐมนตรีกลาโหม และคนที่จะมาดูแลกระทรวงต่างๆจะเป็นใคร จะผลักดันได้จริงหรือไม่ ซึ่งก็ยังหวังว่า การกู้วิกฤตศรัทธาที่ตนมองว่าเป็นวิกฤตที่เข้ามาเพิ่มเติมตลอด8ปีที่ผ่านมา จะเกิดการแก้ไข และเรียกวิกฤตศรัทธา ให้กลับมาสู่การเมืองไทย และส่วนตัวก็ยังยืนยันที่จะทำงานตรวจสอบถ่วงดุลเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรม และปราศจากคอรัปชั่นให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ทั้งนี้หากดูหน้าตาของรัฐมนตรีตามโผ ครม.แต่ละกระทรวงที่ออกมาตอนนี้แล้ว มีความเป็นห่วงกระทรวงไหนเป็นพิเศษหรือไม่ นายพิธา ระบุว่า เป็นห่วงทุกกระทรวง เพราะแต่ละกระทรวงมีปัญหาหลายเรื่อง อย่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีปัญหาเรื่องน้ำมันรั่วที่ จังหวัดระยอง ทั้งในปี 2556 และปี 2565 จึงเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ และเรื่องเศรษฐกิจก็ต้องทำงานแบบมหภาค ต้องมีทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวัฒนธรรม ต้องทำงานร่วมกัน ซึ่งหลายอันก็เป็นห่วงว่าบุคลากรจะเหมาะสมหรือไม่ เพราะพอต่างพรรคกันการแก้ปัญหาไม่ใช่แค่ทีละกระทรวง แต่จะทำงานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำได้หรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่กังวล
ส่วนกรณีมีกระแสข่าวว่ากระทรวงกลาโหมโควต้าจะเป็นคนนอกไม่ได้มาจากพรรคการเมืองนั้น มีความกังวลหรือไม่ นายพิธา ระบุว่า การตั้งรัฐมนตรีจะคนในหรือคนนอกไม่ได้สำคัญ แต่สำคัญที่ว่าสามารถทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ได้หรือไม่ และถ้ามีความคิดที่ตรงข้ามกันกับนิยามของความมั่นคงหรือจะทำอย่างไรให้ประเทศชาติมีความมั่นคง กองทัพจะต้องมีควาใทันสมัยมากขึ้น เรื่องนี้จึงต้องมีบุคลากรที่เข้าใจ เรื่องนิยามทางความมั่นคงที่ท้าทายในศตวรรษที่ 21จริงๆถึงจะทำได้ และทำอย่างไรให้ตรงกับศรัทธาของประชาชนที่เคยให้ไว้ และความท้าทายจากทั่วทุกสารทิศ ดังนั้นจะคนในคนนอกก็คงไม่สำคัญ