สถานการณ์การเมืองหลังเลือกตั้งเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว หลังนายเศรษฐา ทวีสิน ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย อีกหนึ่งประเด็นที่สังคมจับตามองคงหนีไม่พ้นเรื่องนโยบายหาเสียงต่าง ๆ ว่าหลังจากนี้ พรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำรัฐบาล จะผลักดันนโยบายต่าง ๆ ได้มากน้อยแค่ไหน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘นโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท’ ที่กำลังเป็นพูดถึงอยู่ ณ เวลานี้ ว่าจะมีแนวทางอย่างไรต่อไปหลังการจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ
ดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท คืออะไร
เงินในส่วนนี้จะมาในรูปแบบกระเป๋าเงินดิจิทัล ซึ่งมูลค่าเทียบเท่ากับเงินบาท คือ 1 คูปอง เท่ากับ 1 บาท โดยไม่ใช่คริปโตเคอเรนซี และไม่ใช่เงินสกุลใหม่ และใช้ ระบบ Blockchain วางระบบให้มีการนำไปใช้ให้ตรงจุดประสงค์ตามนโยบายทางการคลัง
อีกทั้งระบบ Blockchain ยังสามารถตรวจสอบตรวจสอบข้อมูลได้ว่า ผู้รับ-ผู้ส่ง เป็นบุคคลใด ซึ่งในส่วนนี้ทางพรรคเพื่อไทย ระบุว่า จะเป็นการติดช่องทางการคอร์รัปชันได้สำหรับโครงการนี้
โดยเงินดิจิทัลส่วนนี้จะไม่มีการเก็งกำไร ไม่มีการทุบทำให้ราคาเหรียญตกลง หรือ ทำให้ขาดทุน รวมถึงไม่สามารถแลกเปลี่ยนด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นได้ ซึ่งนโยบายนี้มุ่งเน้นให้ประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอยเงิน กระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ
Q&A กับ นโยบายเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่น
Q – ใครที่สามารถได้รับสิทธิ์
- A : คนไทยทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป จะได้ ‘กระเป๋าเงินดิจิทัล’ (Digital Wallet)
Q – ต้องลงทะเบียนหรือไม่ ?
- A : คนที่มีสิทธิ์ตามเกินที่กำหนด ไม่ต้องลงทะเบียน เพราะระบบผูกกับบัตรประชาชน
Q – นำไปใช้จ่ายอะไรได้บ้าง
- A : สามารถนำไปใช้จ่ายของใช้จำเป็นได้ ยกเว้น ยาเสพติด การพนัน และการซื้อของบนแพลตฟอร์มออนไลน์
Q – จำกัดพื้นที่ในการใช้หรือไม่ ?
- A : เงินดิจิทัลนี้จะใช้จ่ายได้ เฉพาะกับร้านค้าชุมชนและบริการที่ “อยู่ในรัศมี 4 กิโลเมตร”
Q – เงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่น มีอายุการใช้งานไหม ?
- A : กระเป๋าเงินดิจิทัลจะมีอายุการใช้งาน 6 เดือน
Q – สำหรับร้านค้านำเงินดิจิทัลไปแลกได้ย่างไร ?
- A : ร้านค้าสามารถนำเงินดิจิทัลมาแลกเป็นเงินบาทได้กับธนาคารในโครงการในภายหลัง
Q – นโยบายดิจิทัล 1 หมื่น จะเริ่มเมื่อไร ?
- A : พรรคเพื่อไทยคาดการณ์ว่าจะเริ่มนโยบายนี้ในเดือนมกราคม 2567
…
งบประมาณของนโยบายเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่น
นโยบายเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่น ต้องใช้ประมาณถึง 560,000 ล้านบาท ทำให้หลายฝ่ายเกิดข้อกังวลว่าจะสามารถทำได้จริงหรือไม่ โดยทางพรรคเพื่อไทยได้ชี้แจงว่าแหล่งที่มาของเงินนั้น มีด้วยกัน 4 ส่วนคือ
- 1.รายรับจากการจัดเก็บภาษีในปี 2567 ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 2.6 แสนล้านบาท
- 2.รายได้เพิ่มจากการจัดเก็บภาษี จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ 1 แสนล้านบาท
- 3.การบริหารจัดการงบประมาณ 1.1 แสนล้านบาท
- 4.งบประมาณจากโครงการต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว 9 หมื่นล้านบาท