เมื่อเวลา 09.58 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงท่าทีพรรครวมไทยสร้างชาติ หลังเดินทางร่วมหารือกับพรรคเพื่อไทยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่าจะเป็นการส่งสัญญาณร่วมงานทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ ว่า เป็นไปตามที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรคได้แสดงจุดยืนไปแล้ว แต่จะร่วมกันหรือไม่ต้องมาหารือร่วมกันภายในพรรคก่อน ซึ่งจะมีการประชุมส.สในวันพุธที่ 26 เวลา 16.00 น.โดย หัวหน้าและเลขาธิการพรรค จะนำผลการหารือมาพูดคุยในที่ประชุม.ส. และกรรมการบริหารพรรค พร้อมกับย้ำว่าก่อนหน้านี้หัวหน้าพรรคเคยแสดงเจตจำนงค์ไปแล้วว่ามีแนวคิดอย่างไร
เมื่อถามถึงทิศทางแนวโน้มของสส.รวมไทยสร้างชาติใน ขณะนี้มีความคิดเห็นอย่างไรนั้นนายธนกรกล่าวว่า ตนมองว่าสส.ภายในพรรคเป็นเอกภาพ ฉะนั้น การพูดคุยเจรจาถ้ามีเงื่อนไขทำเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ตนก็คิดว่าสส.ของพรรคไม่มีปัญหา
ส่วนได้มีการหารือกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะอดีตประธานยุทธศาสตร์พรรครวมไทยสร้างชาติแล้วหรือไม่หลังการหารือร่วมกับพรรคเพื่อไทย นายธนกรกล่าวย้ำว่า พลเอกประยุทธ์ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพรรคแล้ว แต่เท่าที่ตนได้พูดคุยและทำงานกับพลเอกประยุทธ์อยู่ แม้จะไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคแล้วนั้น ซึ่งการที่พักรวมไทยสร้างชาติไปพูดคุยกับพรรคเพื่อไทยพลเอกประยุทธ์ก็ไม่ได้ว่าอะไร โดยนายธนกรยืนยันว่าการที่พลเอกประยุทธ์ ประกาศวางมือทางการเมืองไม่เกี่ยวข้องกับการเปิดทางให้พรรครวมไทยสร้างชาติ ไปร่วมทางทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทยแต่อย่างใด เนื่องจากที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ์ก็เปรยตลอดว่าหากถึงเวลาที่เหมาะสม ท่านก็จะต้องวางมือ และไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับทางการเมืองซึ่งเป็นแนวทางที่พลเอกประยุทธ์ คิดไว้ก่อนหน้านี้อยู่แล้ว เนื่องจากทำงานให้ประเทศชาติมากว่า 8-9 ปีถึงเวลาที่เหมาะสมที่ท่านต้องพักผ่อน และหาเวลาไปทำประโยชน์ให้ประเทศชาติในมิติ ซึ่งตนก็เชื่ออยู่แล้วว่าพลเอกประยุทธ์พร้อมที่จะทำงานให้ประเทศชาติ
เมื่อถามถึงแนวคิดของนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาระบุว่าหากพรรคเพื่อไทยไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ก็เป็นหน้าที่ของพรรคในลำดับที่ 3 จะต้องรัฐบาล จะถือเป็นการส่งสัญญาณว่าพรรคเพื่อไทยไม่สามารถจะตั้งรัฐบาลได้ใช่หรือไม่ นายธนกร ระบุว่า ตามหลักการพรรคอันดับ 1 จัดตั้งไม่ได้ก็ต้องเป็นพรรคในลำดับที่ 2 และหากพรรคในลำดับที่ 2 ไม่สามารถจัดตั้งได้ก็เป็นพรรคลำดับที่ 3 เป็นไปตามหลักการทั่วไป ซึ่งตนก็เห็นใจพรรคเพื่อไทย เหมือนมติของ 8 พรรคร่วมให้ไปแสวงหาคะแนนเพิ่ม ในแนวทางต่างๆ เมื่อพรรคเพื่อไทยไปแสวงหาแกนนำพรรคก้าวไกลก็กลับเหน็บแนม และสมาชิกพรรคก้าวไกลก็บุกไปยังที่ทำการพรรคเพื่อไทย และมีการใช้แป้งเกิดเหตุการณ์อย่างเมื่อวาน ซึ่งตนมองว่าไม่เหมาะสม พร้อมกับระบุว่าเมื่อท่านเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกลต้องเข้าใจระบอบประชาธิปไตย และควรทำความเข้าใจกับสมาชิกพรรคที่รักใคร่ชอบพอ เพราะบรรยากาศแบบนี้เหมือนท่านปล่อย ซึ่งมันเป็นทฤษฎี 2 ขา นำไปสู่ความขัดแย้งในที่สุด พร้อมยืนยันว่า การชุมนุมต่างๆสามารถทำได้เป็นไปตามที่นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือบก.ลายจุด จัดกิจกรรม ซึ่งก็ไม่มีปัญหาเพราะทำตามกฎหมาย
” แต่แกนนำจะตั้งรัฐบาลอันดับ 1 คือวันนี้พอเป็นนายกฯไม่ได้ ไม่มีใครป็นได้แล้วหรือ นอกจากคุณพิธา ผมก็ไม่เข้าใจ เพราะที่ผ่านมาหากอันดับ 1 ตั้งไม่ได้ ก็อันดับ 2 ตั้งไป เป็นเรื่องปกติมากทางการเมือง และที่บอกว่ารอไปสัก 10 เดือน ส่วนตัวมองว่าเมื่อเลือกตั้งเสร็จกลไกการจัดตั้งรัฐบาล การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีก็ควรเดินหน้าไป ไม่ควร แม้มีอุปสรรคบ้าง เพราะมันเป็นการเมืองแบบรัฐสภาฯ ซึ่งสามารถแก้ไขได้ ไม่ควรรอถึง 10 เดือนเพราะประเทศเสียหาย และประชาชนเฝ้ารอดูอยู่ และนักธุรกิจก็เฝ้ารอดูอยู่”
เมื่อถามถึงเหตุการณ์ความวุ่นวายภายในพรรคเพื่อไทย วานนี้จะทำให้ MOU 8 พรรคร่วมล่มหรือไม่ นายธนกร ปฏิเสธว่า ตนไม่ทราบเนื่องจากเป็นเรื่องของพรรคเพื่อไทย แต่ตนเห็นบรรยากาศแล้วที่มีการนำแป้งไปโรยนั้น ก็สงสารนายสันติ พร้อมพัฒน์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เพราะเลอะแป้งไปถึงศีรษะ พร้อมระบุว่ามันไม่ควรมีบรรยากาศแบบนี้ เนื่องจากเป็นการเจรจาตามกรอบที่พรรคร่วมแตกพรรคได้มอบหมายให้พรรคเพื่อไทย ซึ่งในการเจรจาเบื้องต้นก็ต้องมีการพูดคุยว่าเขาคิดกันอย่างไร และมันยังไม่ได้ไปถึงจุดร่วมรัฐบาลกันเลย และเมื่อเกิดสถานการณ์อย่างนี้แล้วในอนาคตตนมองว่าก็อาจจะยุ่งยากเหมือนกัน
เมื่อถามยามว่าเหตุการณ์วานนี้เพื่อไทยควรจะบอกเลิกพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายธนกรปฏิเสธว่าเรื่องดังกล่าวตนไม่ขอก้าวล่วง พร้อมกับกล่าวว่าหากพรรคในลำดับ 1 ไม่สามารถจัดตั้งได้ก็ควรเป็นพรรคในลำดับที่ 2 หากพรรคลำดับ 2 ไม่ได้ก็ควรเป็นลำดับที่ 3 ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกข์พรรคการเมืองควรเข้าใจ และคิดว่าทุกพรรคที่ได้รับการเชิญไปพูดคุยก็เข้าใจ ไม่ใช่ว่าถูกเชิญไปพูดคุยแล้วจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล อาจจะเป็นพรรคฝ่ายค้านก็ได้เราก็ไม่รู้ แต่นี่เป็นการเจรจาในเบื้องต้น
เมื่อถามว่ามองอย่างไรในท่าทีของพรรคก้าวไกลที่ดูเหมือนว่าจะไม่ยอมออกจากพรรคร่วมรัฐบาล นายธนกร ระบุว่า
” แบบนี้มันเป็นเด็กเกินไปหรือเปล่า บ้านเมืองไม่ใช่เด็กเล่นขายของ เหมือนกับคนที่เป็นแฟนกัน หมั้นกันแล้วเขาก็เลิกกันได้ เหมือนพ่อแม่คลุมถุงชนมาอย่างนี้ วันหนึ่งเมื่อหมั้นกันแล้วพ่อแม่คลุมถุงชนมาเขาก็ยังเลิกกันได้เลย เพราะมันไม่ได้รักกันด้วยหัวใจไง ฉะนั้นคนที่จะแต่งงานกัน มันต้องมีความรักที่ออกมาจากใจ ไม่ใช่รักด้วยสมอง แต่ต้องรักด้วยหัวใจ”