จากกรณี น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ได้รายงานข่าวและเปิดคลิปวีดีโอบันทึกการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี ที่มีการร้องเรียนให้ตรวจสอบว่า ไม่ตรงกับเอกสารบันทึกการประชุมในรายการข่าว 3 มิติ ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3
ล่าสุด นายสรกล อดุลยานนท์ หรือ คอลัมน์นิสต์ ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม “หนุ่มเมืองจันท์” โพสต์ เฟซบุ๊ก ถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า
ข่าวใหญ่วันนี้
“แยม” ฐปณีย์ เปิดคลิปการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวีในรายการ “ข่าว 3มิติ” จับพิรุธการร้องการถือหุ้นไอทีวีของ “ทิม-พิธา”
จนมีคนตั้งข้อเกตว่า คล้ายกับมีขบวนการสมคบคิดเพื่อล้ม “พิธา” ก่อนหน้านี้มีการเปิดหลักฐานบันทึกการประชุมไอทีวี เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่า “ไอทีวี” ยังทำสื่ออยู่เพื่อมัด “พิธา”
ในเอกสารการประชุมระบุว่า นายภาณุวัฒน์ ขวัญยืน ผู้ถือหุ้นสอบถามว่า “ไอทีวี” มีการดำเนินการเกี่ยวกับสื่ออยู่หรือไม่ ประธานในที่ประชุมตอบว่า “ปัจจุบันบริษัทยังมีการดำเนินกิจการอยู่ ตามวัตถุประสงค์ของบริษัท และมีการส่งงบการเงินและยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลตามปกติ” นั่นคือ ข้อความในบันทึกการประชุม
แต่ในคลิปการประชุมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ “แยม” เปิดในรายการ “ข่าว 3มิติ” วันนี้ ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามข้อความในบันทึกการประชุม
“ความจริง” เป็นแบบนี้ครับ
นายภาณุวัฒน์ ถามว่า “มีการดำเนินการเกี่ยวกับสื่อหรือทีวีไหมครับ”
นายคิมห์ (สงวนนามสกุล) ประธานที่ประชุม ตอบว่า “ตอนนี้บริษัทยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ นะครับ ก็รอผลคดีความให้สิ้นสุดก่อนนะครับ” คลิปนี้เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าการจัดการ “ทิม-พิธา” เรื่อง “ไอทีวี” ไม่ใช่กระบวนการปกติ แต่เหมือนเป็น “ขบวนการ” แบบร่วมด้วยช่วยกัน มีการสร้างเอกสารชิ้นนี้ด้วยความร่วมมือจากหลายฝ่ายอย่างน้อย 3 ฝ่าย
ฝ่ายแรก ส่งลูกน้องไปประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี และตั้งคำถามเรื่องการดำเนินการเรื่องสื่อ แต่คำตอบไม่ได้เป็นไปตามที่หวัง อย่าลืมว่า ผู้ถือหุ้นคนนี้เข้าประชุมด้วยตัวเอง เขาต้องได้ยินกับหูว่าคำตอบไม่ตรงกับบันทึกการประชุม แต่ทำไมถึงยืนยันข้อความในเอกสาร หรือเป็นเพราะได้รับสัญญานจากฝ่ายที่สองที่สมคบคิด ?
ฝ่ายที่สอง ต้องมีอำนาจสูงมากที่สามารถสั่งให้เลขานุการบริษัทเปลี่ยนคำในบันทึกการประชุมจาก “ขาว” เป็น “ดำ” เพื่อมัด “พิธา” ว่า “ไอทีวี” ยังทำธุรกิจสื่ออยู่ และมีอำนาจที่สั่งให้ประธานในที่ประชุมยอมเซ็นรับรองเอกสารชิ้นนี้
คน ๆ นี้ถ้าไม่เกลียดหรือโกรธ “พิธา” เป็นการส่วนตัว เขาต้องเดือดร้อนมากหาก “พิธา” ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
และฝ่ายที่สาม คือ คนที่รับเรื่องทั้งหมดไปยื่นร้องเรียนที่ กกต. เรื่องนี้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากครับ