นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ได้ออกจดหมายถึงนายเควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ อีกครั้ง โดยในจดหมายฉบับนี้ได้ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะไม่มีเงินมากพอที่จะชำระให้ครอบคลุมยอดค่าใช้จ่ายผูกพันทั้งหมด ภายในวันที่ 5 มิ.ย. นี้ หากไม่ได้รับการขยายเพดานหนี้ ซึ่งในปัจจุบันอยู่ที่ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์ ในครั้งนี้
โดยในช่วง 2 วันแรกของเดือนมิถุนายนนี้ สหรัฐฯ มีภาระผูกพันธ์ที่จะต้องจ่ายเงินมากกว่า 1.3 แสนล้านดอลลาร์ รวมถึงค่าใช้จ่ายอีก 9.2 หมื่นล้านสำหรับเงินสวัสดิการทหารผ่านศึก, ประกันสังคม และผู้รับการรักษาพยาบาล ในวันที่ 5 มิ.ย.
นอกจากนี้ยังคงมีเงินที่จะต้องใช้จ่ายในกองทุนประกันสังคมและสุขภาพอีกเกือบ 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ และในจดหมายยังได้ระบุอีกว่า ในการประเมินค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า คาดว่าเงินที่มีในขณะนี้ จะไม่เพียงพอ และครอบคลุมภาระผูกพันที่มีทั้งหมด
นางเยลเลน ได้เรียกร้องให้บรรลุข้อตกลงโดยเร็ว และการรอจนถึงนาทีสุดท้ายจะส่งผลเสียต่อสหรัฐฯ มากกว่า และหากไม่สามารถบรรลุการเจรจาและขยายเพดานหนี้ในครั้งนี้ จะส่งผลชาวอเมริกันหลายครอบครัวเผชิญกับความยากลำบาก ส่งผลกระทบต่อสถานะความเป็นผู้นำของโลก รวมถึงมีการตั้งคำถามถึงความสามารถในการชำระหนี้ของสหรัฐฯ ด้วย
เงินคงคลังลดลงต่อเนื่อง
รายงานล่าสุดของดุลเงินสดคงคลังสหรัฐฯ ( 27 พ.ค. ) นี้ สหรัฐฯ มีเหลืออยู่ที่ 4.95 หมื่นล้านดอลลาร์ ลดลงจากเมษายน 2566 ที่มีอยู่กว่า 2.3 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งจากจดหมายของนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ สหรัฐฯ มีค่าใช้จ่ายที่จะต้องจ่ายมากกว่า 1.3 แสนล้านดอลลาร์
หมายความว่า สถานะทางการเงินของสหรัฐฯ แม้จะชำระเงินจนหมดคลังแล้ว ก็ยังคงขาดเงินอีกกว่า 8.05 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
สถานการณ์ในขณะนี้
นับตั้งแต่ที่นางเยลเลน ได้ออกมาแจ้งเตือนครั้งแรกเมื่อเดือนมกราคม 2566 นับเป็นเวลาเกือบ 5 เดือนแล้ว ที่ทั้งประธานาธิบดีโจ ไบเดน และนาย เควิน แมคคาร์ธี ประธานรัฐสภาสหรัฐฯ ก็ยังคงไม่บรรลุผลการเจรจาในการขยายเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ได้
โดยนายเควิน แมคคาร์ธี นั้นมีจุดยืนที่ต้องการให้สหรัฐฯ มีการปรับลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้มากขึ้น ในขณะที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ไม่ต้องการลดค่าใช้จ่าย เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อนโยบายต่าง ๆ ที่กำลังขับเคลื่อนอยู่ในขณะนี้
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความพยายามในการเจรจากันหลายครั้งมากขึ้น ซึ่งมีรายงานความคืบหน้าที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น และมีโอกาสที่จะบรรลุข้อตกลงระหว่างทั้งสองฝ่ายมากขึ้น
แต่ก็ยังคง “ไม่มีข้อสรุป” ที่ชัดเจน ทำให้หลายฝ่ายกังวลต่อสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น หากไม่สามารถขยายเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ได้ และจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงตลาดการเงินโลกด้วย
และหากสถานการณ์ยังคงยืดเยื้อต่อไปเรื่อย ๆ ผลกระทบก็จะรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ที่มา –
- https://home.treasury.gov/news/press-releases/jy1506