คัดลอก URL แล้ว
“ชูวิทย์” ควง “ทนายเปี๊ยก” ขึ้นศาล ขู่ “ทนายตั้ม” หากแถลงข่าวพาดพิงอีก จะฟ้องครั้งละ 100 ล้านบาท

“ชูวิทย์” ควง “ทนายเปี๊ยก” ขึ้นศาล ขู่ “ทนายตั้ม” หากแถลงข่าวพาดพิงอีก จะฟ้องครั้งละ 100 ล้านบาท

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง พร้อม นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ เดินทางมาที่ศาลาอาญา ตามการนัดไต่สวนมูลฟ้องครั้งที่ 2 ที่นายชูวิทย์ยื่นฟ้องนายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล ในข้อหาแจ้งความเท็จ อันเกี่ยวกับความผิดทางอาญาที่มิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น, สร้างพยานหลักฐานเท็จ และหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และฟ้องเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงิน 100 ล้านบาท

ทนายอนันตชัยและนายชูวิทย์ได้พูดถึงกรณีที่มีปัญหากับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ว่า การที่ทนายตั้มได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวออนไลน์แห่งหนึ่ง พบว่ามี 20 จุดที่เข้าข่ายหมิ่นประมาทนายชูวิทย์ โดยความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 326 และมาตรา 328 ซึ่งในระยะเวลาที่นายชูวิทย์ออกมาเปิดโปงกระบวนการคอรัปชั่นและทุนจีนสีเทา ซึ่งถือว่าเป็นการเปิดเผยความจริงต่อสาธารณะ และเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะชน ดังนั้นหากมีบุคคลที่ออกมาแถลงข่าวหรือพูดถึงนายชูวิทย์โดยที่ตนเองไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสีย และไม่ใช่ประจักษ์พยานที่อยู่ในเหตุการณ์ มีแค่พยานบอกเล่าเท่านั้น แต่กลับออกมาเปิดโปงนายชูวิทย์และลูกชายของนายชูวิทย์ว่ารับเงิน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว และก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงของนายชูวิทย์ ดังนั้นฝากไปถึงทนายตั้มว่าควรมีมารยาททนายความเพราะ ทนายตั้มเป็นบุคคลที่มีวิชาชีพทางด้านกฎหมาย ก่อนจะมีการแถลงข่าวขอให้แถลงข้อมูลด้วยข้อเท็จจริง ไม่ใช่เป็นเพียงแค่พยานบอกเล่าเท่านั้น โดยหลังจากนี้ตนจะไม่ให้นายชูวิทย์ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องของทนายตั้มต่อสื่อมวลชนอีกต่อไป เพราะว่าเรื่องนี้ตนจะดำเนินการจัดการกับทนายตั้มเอง รวมถึงหากทนายตั้มยังจัดแถลงข่าวพูดพาดพิงถึงนายชูวิทย์อีก ก็จะให้นายชูวิทย์ฟ้องครั้งละ 100 ล้านบาท

พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตในเรื่องของการถ่ายภาพของถุงเงินที่นำมาให้นายชูวิทย์ ซึ่งเป็นการถ่ายภาพไว้ก่อนที่นายชูวิทย์จะมาถึง และไม่มีภาพที่นายชูวิทย์รับเงิน ซึ่งเป็นการกระทำที่ตั้งใจที่จะแบล็คเมล์และเป็นการจัดฉากเพื่อที่จะโจมตีนายชูวิทย์หากนายชูวิทย์ไม่ทำตามหรือไม่

ขณะเดียวกัน หลังจากนี้นายชูวิทย์จะไปร้องเรียนที่สภาทนายความถึงการกระทำของทนายตั้มว่าผิดมารยาททนายความหรือไม่ เพราะการที่ทนายตั้มเป็นคนที่มีวิชาชีพทางด้านกฎหมายแล้วมีการแถลงข้อเท็จจริงโดยข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนต่อความจริง และไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏการกระทำในลักษณะนี้มีมารยาททนายความอยู่ ตามข้อบังคับของสภาทนายความ พ.ศ.2529 มาตรา 3 ข้อ 3 หมวด 9 การกระทำอันเป็นการยุยงส่งเสริม ให้มีการฟ้องร้องคดีกัน ในกรณีอันหามูลมิได้ มีโทษสูงสุดต้องลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความ

นอกจากนี้ยังฝากถึงโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ได้ออกมาบอกว่านายชูวิทย์มีความสุ่มเสี่ยงความผิดฐานฟอกเงิน รวมถึงทาง ปปง. ที่จะดำเนินคดีกับนายชูวิทย์ในฐานฟอกเงิน ซึ่งตามพระราชบัญญัติการป้องกันปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มีโทษทางอาญา ซึ่ง พ.ร.บ.ดังกล่าวต้องมีการกระทำโดยเจตนา ต้องรู้ว่าเงินที่ได้มาเป็นเงินที่ได้จากการกระทำความผิด มูลฐาน มาจากกาคฟอกเงิน และต้องมีการซุกซ่อนปกปิดแหล่งที่มา แต่ในความเป็นจริงแล้วนายชูวิทย์ไม่ทราบแหล่งที่มาของเงินว่ามาจากที่ใด และไม่รู้ว่าเป็นเงินที่มาจากกระทำความผิดหรือไม่ แต่เป็นเงินที่ให้เพื่อปิดปากนายชูวิทย์ โดยนายชูวิทย์ได้นำไปบริจาค จึงไม่เข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงิน ดังนั้นหาก ปปง. และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะดำเนินคดีจะดำเนินคดีกับนายชูวิทย์ตนก็จะเอาเรื่องทั้งหมด

ทนายอนันตชัยฝากทิ้งท้าย ถึงทนายตั้มว่าเป็นทนายที่ดีจะต้องฉลาด ใจเย็น และมีสติหากมีสติก็จะมีปัญญา หากไม่มีสติก็จะเกิดปัญหา แล้วความเดือดร้อนจะมาเยือน

ด้านนายชูวิทย์ กล่าวว่า การที่ทนายตั้มใช้สื่อเป็นเครื่องมือ โดยใช้วิชาชีพทนายในการออกมาแถลงข่าว รวมถึงมีการเรียกรับเงินจากลูกความเพื่อแถลงข่าวครั้งละ 300,000 บาทนั้น สมาคมทนายความควรที่จะพิจารณาความผิดของทนายท่านนี้ พร้อมยืนยันว่าสิ่งที่ตนทำนั้นไม่ได้โจมตีแต่ตนพูดด้วยความจริง หลังจากนี้หากมีใครจะฟ้องตน ตนพร้อมทนายก็จะฟ้องกลับเช่นกัน เพราะตนพร้อมสู้ทุกทาง ทั้งทางกฏหมาย ทางสังคม และทางสื่อ พร้อมฝากไปถึงหมาลอบกัดต่างๆ ว่าตนพร้อมกับกัดตอบ และพูดสั้นสั้นว่า “ กูไม่กลัวมึง”

ขณะเดียวกันยังทิ้งท้ายว่า ในวันพรุ่งนี้ให้รอดูว่าตนจะเอาเงินจำนวน 6 ล้านบาทที่ตนรับคืนจากทั้ง 2 โรงพยาบาลไปทำอะไร โดยฝากถึงคนที่รอโจมตีตนอยู่ว่าอย่าช็อค และฝากถึงทนายตั้มว่า วันนี้อยากจะแถลงข่าวอะไรหรือพูดอะไรให้ทำได้เลย ตนไม่กลัว เพราะตนทำงานให้สังคม ดังนั้นเงินที่ได้รับมาแค่นี้ไม่มีความหมายสำหรับตน แต่อาจจะมีความหมายสำหรับทนายบางคนมากกว่า


ข่าวที่เกี่ยวข้อง